เหตุระเบิด 3 จุดกลางกรุงเทพฯ ในห้วงเดือนเศษที่ผ่านมา มีความเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจน และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่มากกว่าแค่ป่วนเมือง
1.เหตุระเบิดที่หน้าอาคารกองสลากเก่า ถนนราชดำเนินกลาง เมื่อช่วงค่ำวันที่ 5 เมษายน 2.เหตุระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 15 พฤษภาคม และ 3.เหตุระเบิดที่ห้องวงษ์สุวรรณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ช่วงกลางวันแสกๆ ของวันที่ 22 พฤษภาคม ทิ้งช่วงห่างจากเหตุการณ์ที่สองแค่ 7 วัน
ความเกี่ยวข้องกันของทั้ง 3 เหตุการณ์มีหลายมิติ เริ่มจากมิติแรก วัตถุพยานที่พบ โดยทั้งเหตุระเบิดที่หน้ากองสลากเก่า และเหตุระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติ อุปกรณ์ประกอบระเบิดมีความคล้ายคลึงกัน คือพบแผงวงจร พบไอซีไทเมอร์ หรืออุปกรณ์หน่วงเวลาระเบิด และพบเศษท่อพีวีซี
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สรุปว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องแบบ “ไปป์บอมบ์ขนาดเล็ก” แต่ละเหตุไม่ชัดว่ามีสะเก็ดระเบิดหรือไม่ ข่าวบางกระแสระบุว่าเหตุแรกใช้ “บอล แบริ่ง” หรือลูกเหล็กเป็นสะเก็ดระเบิด ส่วนเหตุที่สองหน้าโรงละครแห่งชาติ ยังไม่พบว่าใช้วัสดุใดเป็นสะเก็ดระเบิด
สำหรับเหตุระเบิดล่าสุดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และตรวจพิสูจน์ระเบิด หรือ อีโอดี พบหลักฐานดังนี้ 1.ถ่ายไฟฉายขนาด 1.5 โวลต์ 1 ชุด 2.สวิตช์ คาดว่าเป็นแบบสไลด์ 3.ไอซีไทเมอร์ 4.เศษตะปูขนาด 1 นิ้ว หัวตัด และ 5.เศษท่อพีวีซี
จากหลักฐานที่พบก็ชัดว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่อง และน่าจะเป็น “ไปป์บอมบ์” เช่นเดียวกัน...นี่คือมิติเรื่องวัตถุพยาน
ส่วนในมิติเชิงสัญลักษณ์ จะพบว่าการเลือก วัน ว. เวลา น. ในการก่อเหตุ วิเคราะห์ได้หลายมุมทีเดียว เริ่มจาก
1.เหตุระเบิดที่หน้ากองสลากเก่า เกิดขึ้นช่วงค่ำวันที่ 5 เมษายน ก่อนวันจักรีและวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียง 1 วัน จุดเกิดเหตุอยู่ใกล้สนามหลวง ซึ่งกำลังมีการเตรียมการสำหรับพระราชพิธีสำคัญ ส่งสัญญาณชัดทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องอ่อนไหวที่สุดในบ้านเมือง
2.เหตุระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติ เกิดขึ้นช่วงค่ำวันที่ 15 พฤษภาคม ใกล้ๆ กับวันพืชมงคล จุดเกิดเหตุอยู่ใกล้ท้องสนามหลวงเช่นกัน และเป็นจุดอับของระบบกล้องวงจรปิด
3.เหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เกิดขึ้นวันที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบ 3 ปีการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. จุดเกิดเหตุอยู่ที่ศูนย์รับรองข้าราชการทหาร ซึ่งห้องนี้เป็นห้องรับรองข้าราชการบำนาญชั้นนายพล มีห้องจ่ายยาอยู่ด้านใน ชื่อห้อง “วงษ์สุวรรณ” การเลือกจุดก่อเหตุเป็นห้องชื่อนี้ คงไม่ยากสำหรับการคาดเดาว่าคนร้ายต้องการส่งสัญญาณอะไร
รูปแบบการก่อเหตุทั้งหมดไม่ได้เน้นให้มีคนตายหรือบาดเจ็บสาหัส เพราะอานุภาพของระเบิดไม่ได้รุนแรงมาก โดยเฉพาะเหตุระเบิดที่หน้ากองสลากเก่า คนร้ายนำวัตถุระเบิดไปซุกไว้ในถังขยะ เหมือนให้ตีความว่าเด็กแว้นหรือแก๊งวัยรุ่นนำมาทิ้งไว้ก็ได้ ส่วนเหตุระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติ ก็เลือกจุดที่ห่างจากฝูงชน และใช้ดินระเบิดน้อยจนเผาไหม้ไปเกือบหมด แทบจะตรวจหาสารประกอบระเบิดไม่ได้
ส่วนเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า คนร้ายเลือกศูนย์รับรองข้าราชการ ซึ่งเป็นนายทหารระดับสูงที่เกษียณอายุแล้ว จึงเป็นห้องที่มีคนไม่พลุกพล่านนัก ประกอบกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แทบไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยอะไรเลย เนื่องจากเป็นสถานพยาบาลที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนคิดร้ายนำระเบิดไปวาง
ทั้งหมดนี้คนร้ายน่าจะเตรียมการมาก่อน มีการสำรวจและสกรีนสถานที่เป็นอย่างดี โดยเฉพาะทางหนีทีไล่ และจุดอับของกล้องวงจรปิด ก่อนเลือกจุดวาง จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ระเบิดที่หน้ากองสลากเก่า จนถึงขณะนี้ เกิดมาเกือบ 2 เดือนแล้ว แต่ยังจับมือใครดมไม่ได้
ส่วนเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า คนร้ายสามารถเลือกวางบริเวณอื่นที่มีคนจำนวนมากได้ แต่ก็ไม่ทำ สะท้อนว่าเป้าหมายไม่ได้ต้องการทำลายชีวิต ขณะที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็น “โรงพยาบาลทหาร” ย่อมต้องการท้าทาย คสช. เป็นเหตุผลทางการเมืองอย่างชัดเจน
ที่สำคัญ ระเบิดเหล่านี้น่าจะเป็นชุดเดียวกัน ประกอบมาคราวเดียวหลายๆ ลูก จึงมีโอกาสที่ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
สำหรับความเชื่อมโยงกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะรูปแบบการประกอบระเบิดและอุปกรณ์ที่ใช้มีความคล้ายคลึงกันนั้น แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจพิสูจน์ระเบิดแสวงเครื่อง ยอมรับว่ามีความคล้ายคลึงกันจริง และมือประกอบระเบิดอาจเป็นคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ได้ หรืออาจเป็นกลุ่มอื่น ที่ทำลอกเลียนแบบ หรือแม้แต่ศึกษาวิธีการประกอบมาเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นการหาเบาะแสของเจ้าหน้าที่ ก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
ที่สำคัญการด่วนสรุปว่าระเบิดมาจากกลุ่มเคลื่อนไหวที่ปลายด้ามขวาน ต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่า ความเป็นไปได้มีทั้งในแง่ของการขยายพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มเคลื่อนไหวเอง ซึ่งจนถึงขณะนี้หน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานสนับสนุนได้ว่ากลุ่มดังกล่าวต้องการขยายพื้นที่ปฏิบัติการเพื่อประโยชน์อะไร แต่ความเป็นไปได้ที่อาจจะมีมากกว่า และไม่สามารถตัดประเด็นทิ้งไปได้ ก็คือ การ “รับจ้าง” หรือร่วมมือกันเพราะสมประโยชน์กัน
ส่วนใครจะร่วมมือกับใคร หรือใครสมประโยชน์กัน ต้องพิจารณาว่า “ใคร?” คือผู้ได้ประโยชน์ตัวจริงจากสถานการณ์ปั่นป่วน
เพราะต้องไม่ลืมว่า เมื่อสงครามที่ชายแดนใต้ยืดเยื้อ กลุ่มติดอาวุธที่มีความสามารถการก่อเหตุรุนแรงรูปแบบต่างๆ ย่อมขยายเครือข่ายออกไป และมีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ได้ทำเพื่ออุดมการณ์ดั้งเดิม คือต้องการแบ่งแยกดินแดนอย่างเดียวอีกต่อไป
ได้เวลาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยภายใต้การนำของรัฐบาล คสช. ต้องตั้งหลักและหาคำตอบให้ดี เพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
เผย 25 รายชื่อผู้บาดเจ็บ บึ้ม รพ.พระมงกุฎฯ
22 พ.ค.60-ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการลอบวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฏฯ ทั้งหมดมี 25 ราย ประกอบด้วย 1.พ.ท.สมหมาย บุญปกครอง ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลที่นิ้วก้อย ต้นขาและแก้วหูทะลุ 2.พ.ต.สนิท เพ็งเจริญ ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลถลอกบริเวณลำคอ 3.น.ท.หญิง นงเยาว์ ก้อนเพ็ชร ได้รับบาดเจ็บบริเวณเท้าซ้าย 4.นางสุภาภรณ์ ชุ่มชูศาสตร์ มีแผลบริเวณแขน 5.จ.ส.อ.ทวีลาภ รัชณณ ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณคอด้านขวา
6.พ.ท.ชูเกียรติ ศรีสูงเนิน ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและเท้า 7.พ.ท.กฤษฎา อินทรเดช เป็นแผลที่ไหล่ขวาและบริเวณลำคอ 8.นางวิลัย เล้าประเสริฐ บาดเจ็บเล็กน้อย 9.ร.ต.เครือ สังข์เอม ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ 10.นางบุษกร ศรีประเสริฐ มีแผลถลอกบริเวณแขน
11.นางสุอัมไพ ศรีสูงเนิน บาดเจ็บเล็กน้อย 12.นางสมพิศ ชัยชิตาทร บาดเจ็บเล็กน้อย 13.ร.อ.ดุสิต วินิจเขตคำณวน เป็นแผลถลอกที่บริเวณใบหู 14.พ.อ.อัมพร ปาละศักดิ์ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 15.ร.ต.หญิง อาบจิต พูลทรัพย์ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 16.ร.ต.จำรัส ภู่นิเทศ บาดเจ็บเล็กน้อย 17.น.ส.นิธิวดี วัฒนเศรษฐ บาดเจ็บเล็กน้อย 18. นางสมถวิล วรโพธิ์ บาดเจ็บเล็กน้อย 19.นายกฤต พฤกษะวัน บาดเจ็บเล็กน้อย 20.น.ท.สำเริง แตงรอด ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและเท้า
21.นางรำพึง แตงรอด ได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าแข้ง 22.ร.ต.ต.สุวรรณ บรรลือสุข ได้รับบาดเจ็บที่นิ้วก้อย มือ และต้นขา 23.นางสมนึก ตุ้นสกุล ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 24.นายประยุทธ โชติประชุมถิ่น ได้รับบาดเจ็บที่ขา และ25.พ.อ.หญิง พูนศรี ไม่ทราบสนามสกุล ได้รับบาดเจ็บที่ขา.