พ้นจากโรคร้ายและมีร่างกายแข็งแรง
“ลูก” คือ สิ่งเติมเต็มความรัก ความอบอุ่นของครอบครัว รอยยิ้ม และความสดใส คือ พลังให้พ่อแม่ก้าวต่อไป แม้จะต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคและปัญหามากมาย เพียงหวังให้ลูกมีชีวิตและมีอนาคตที่ดี แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นดั่งความฝัน ลูกน้อยเกิดมาพร้อมโรคร้าย อย่าง “โรคธาลัสซีเมีย” ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ หัวใจของคนเป็นแม่ย่อมเจ็บปวดมากที่สุด แต่ด้วยความรักและความหวังที่ต้องการให้ลูกหายจากอาการเจ็บป่วย แม่ต้องสู้สุดชีวิต เพื่อให้ลูกมีชีวิตเหมือนเดิม
แพทย์หญิงวีณา ครุฑสวัสดิ์ ผู้อำนวยการแพทย์และสูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์การมีบุตรยาก ศูนย์ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที กล่าวว่า ธาลัสซีเมีย คือโรคโลหิตจางชนิดหนึ่งที่ถอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ ที่เป็นพาหะหรือเป็นโรคไปสู่ลูก ทำให้เกิดความผิดปกติในการสร้างโปรตีนสำคัญในเม็ดเลือดแดง นำไปสู่ภาวะโลหิตจางหรือภาวะซีด ปัจจุบันพบว่า คนไทยเป็นพาหะของโรคนี้สูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และพบเด็กป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียที่ต้องได้รับการรักษาโดยการถ่ายเลือดสูงถึงปีละ 10,000 คน สำหรับการรักษาให้หายขาดนั้น สามารถทำได้โดยการปลูกถ่ายไขกระดูกด้วยสเต็มเซลล์ที่ปลอดโรคและมีเนื้อเยื่อที่เข้ากันได้เท่านั้น ซึ่งโอกาสที่จะหาผู้บริจาคสเต็มเซลล์ที่ไม่ใช่พี่น้องกันแต่มีเนื้อเยื่อที่เข้ากันได้มีเพียงประมาณ 1:30,000 ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ร่วมกับการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมและการตรวจความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อในตัวอ่อน จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มโอกาสสำเร็จในการรักษาโรคธาลัสซีเมียให้หายขาดได้
วารัทชญา อรรถอนุกูล มีความสุขกับลูกทั้งสอง
วารัทชญา อรรถอนุกูลหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ “ท้องปลอดโรค ลูกปลอดภัย” เล่าว่า ตัวเองกับสามีแต่งงานและอยากมีลูกมาก จนในที่สุดก็ตั้งครรภ์ลูกคนแรก พอไปเจาะน้ำคร่ำคุณหมอบอกว่า ลูกในท้องมีภาวะเสี่ยงเป็นโรคธาลัสซีเมีย ต้องยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้นเราก็เสียใจมาก แต่ในที่สุดก็ตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง โดยไปเจาะน้ำคร่ำเหมือนเดิม และคุณหมอแจ้งว่า ลูกคนนี้ไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคธาลัสซีเมีย ตลอดการตั้งครรภ์คุณแม่ก็สุขภาพแข็งแรงดี จนถึงเวลาคลอด น้องเกิดมามีสุขภาพแข็งแรง มีพัฒนาการเหมือนเด็กคนอื่นๆ เราก็โล่งใจคิดว่าทุกอย่างคงผ่านไปด้วยดี
“แต่แล้วหัวใจคนเป็นพ่อแม่อย่างเราก็แตกสลาย เมื่อจู่ๆ ลูกชาย คือ "น้องคิณ" ภาคิณ อรรถอนุกูล มีอาการ ตัวซีด ป่วยบ่อย เหนื่อยง่าย ร่างกายไม่แข็งแรง ฟันผุ และที่สำคัญพัฒนาการทางร่างกายของน้องต่างจากเด็กวัยเดียวกันมาก คือ น้องจะตัวเล็ก เป็นเด็กขี้โรค 3 วันดี 4 วันป่วย จึงตัดสินใจพาลูกไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอย่างละเอียด ตอนนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจเราเลย คุณหมอบอกว่า น้องคิณป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งน้องจะอยู่กับเราได้แค่ 10 ขวบ เท่านั้น ตอนได้ฟังคุณหมออธิบายถึงอาการของลูก ยอมรับว่าช็อคมาก เพราะตอนท้องเราก็ตรวจอย่างละเอียด มีเอกสารทางการแพทย์ยืนยันว่าลูกเราปกติ” คุณแม่หัวใจแกร่ง เล่าย้อนวันคืนอันเจ็บปวด
ทั้งนี้ วารัทชญา เล่าต่อว่า เมื่อทราบว่าลูกป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ ทางครอบครัวได้ปรึกษากับคุณหมอถึงแนวทางการรักษา ซึ่งคุณหมอบอกว่าต้องรักษาตามอาการ เพื่อรอการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ตอนนั้นเรามีความหวังว่าลูกจะหาย ตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อมาดูลูก เพราะลูกต้องเดินทางไปเติมเลือดที่โรงพยาบาลทุกๆ 2 สัปดาห์ เราต้องเดินทางจากพะเยาไปเชียงใหม่ เลือดที่ใช้ต้องเป็นเลือดพิเศษซึ่งหายากมาก ค่าใช้จ่ายในการรักษาตอนนั้นถือว่าแพงมาก แต่ต้องอดทนเพื่อลูก ต้องแบกภาระหนี้สิน เอาทรัพย์สินที่มีอยู่ไปจำนอง เพื่อนำเงินมาใช้ในการรักษาลูก ระหว่างการรักษาน้องต้องเข้าไอซียูหลายครั้ง มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก ที่เราไม่สามารถช่วยลูกได้ รักษาอยู่ 2 ปี จนคุณย่าของน้องนั่งดูทีวีรายการหนึ่ง พบโครงการ “ท้องปลอดโรค ลูกปลอดภัย” ของศูนย์ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. เป็นโครงการช่วยลดความเสี่ยงการมีบุตรไม่ให้เป็นโรคทางพันธุกรรม เพื่อให้เด็กที่เกิดมาปลอดโรค โดยทางศูนย์ฯ ได้ใช้เทคโนโลยีในการคัดกรองตัวอ่อนและจับคู่เนื้อเยื่อที่ตรงกัน เพื่อให้คุณแม่ให้กำเนิดบุตรอีกหนึ่งคน แล้วนำเซลล์ต้นกำเนิดจากบุตรคนน้องนำไปปลูกถ่ายรักษาบุตรคนพี่ได้ เพราะเด็กที่เกิดมาได้ผ่านกระบวนการตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย และผ่านกระบวนการตรวจความเข้ากันของเนื้อเยื่อมาแล้ว ทำให้ครอบครัวเราไม่ต้องสูญเสียน้องภาคิณไป และยังสามารถรักษาโรคธาลัสซีมียได้หายขาดด้วย
“น้องคิณ" ภาคิณ อรรถอนุกูล และน้องชาย