กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (เปลี่ยนทางมาจาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย (อังกฤษ: Ministry of Natural Resources and Environment of Thailand) เป็นหน่วยงานราชการไทย ประเภทกระทรวง มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสงวน อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และดูแลหน่วยงานราชการอื่น ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมพ.ศ. 2545 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พศ.2545
หน่วยงานในสังกัด
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีส่วนราชการในสังกัด ได้แก่
[แก้] อ้างอิง
- ^ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
- ^ พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545
"เปิดโปงอภิมหาโครงการไซโล-นายหน้าขายข้าวอคส. เอื้อจีจีเอฟมาเลเซีย"
กองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
บทคัดย่อ
จากการติดตามไปร่วมรับฟังการประชุมชี้แจงโครงการประกันรายได้ของรัฐบาล โดยนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2552 ของทีมงานโต๊ะข่าวเกษตรการค้า กองบรรณาธิการฐานเศรษฐกิจ เพื่อรายงานข่าวตามปกติ ในงานดังกล่าว นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ อุปนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้ลุกขึ้นสอบถามปลัดกระทรวงพาณิชย์ว่า เหตุใดประเทศไทยตั้งบริษัท จีจีเอฟของมาเลเซีย เป็นตัวแทนขายข้าวของรัฐบาลไทยในตลาดโลก ซึ่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถชี้แจงได้ในวันนั้น
ทีมข่าวโต๊ะเกษตรการค้าจึงรายงานข่าวดังกล่าวเป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 11-14 ตุลาคม 2552 เนื่องจากเห็นว่า อาจกระทบต่อกลไกการค้าข้าวไทยในตลาดโลกได้ จากนั้น”ฐานเศรษฐกิจ” ได้ติดตามตรวจสอบความเป็นมาของโครงการดังกล่าวในทางลึกอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ ซึ่งยิ่งติดตามรายงานข่าวยิ่งพบข้อพิรุธโครงการนี้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
นายยงยศ ปาละนิติเสนา รักษาการผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า(อคส.) หน่วยงานต้นเรื่อง ที่ทำสัญญาให้บ.จีจีเอฟ(ไทยแลนด์) เข้าร่วมการงานในโครงการจัดหาไซโลเก็บข้าวของอคส. อ้างว่า หลังจากที่รัฐบาลเปลี่ยนโครงการจำนำ เป็นโครงการประกันรายได้แล้ว ภาระกิจอคส.จะน้อยลง จึงจำเป็นต้องหาธุรกิจเลี้ยงตัวเอง จึงทำโครงการจัดหาสถานที่เก็บข้าวคือไซโลขึ้น และคัดเลือกบริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นผู้จัดหาไซโล
หลังจากนั้น อคส. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับบริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2552 โดยมีบริษัท จีจีเอฟ มาเลเซีย (GGF Gloden House Sdn.Bhd.)ร่วมด้วย
ในบันทึกข้อตกลงมีสาระสำคัญ 5 ข้อคือ 1.จีจีเอฟ (ไทยแลนด์)จะจัดสร้างไซโล 10 แห่ง ความจุรวม 2 ล้านตันในพื้นที่ 10 จังหวัดให้กับอคส. 2.ในกรณีที่อคส.ดำเนินโครงการรัฐบาลหรือธุรกิจของอคส.เอง อคส.เป็นผู้มีสิทธิ์รายแรกที่จะเช่าไซโลอัตราค่าเช่า 41 บาทต่อตันต่อเดือน 3.จีจีเอฟมาเลเซีย เป็นนายหน้าขายข้าวให้กับอคส.โดยมีสิทธิ์ซื้อข้าวจากอคส.เป็นรายแรก และอคส.จะมีส่วนลดให้ 25%ของราคาเอฟโอบีที่กำหนดโดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ณ วันสั่งซื้อ 4.จีจีเอฟมาเลเซียจะสนับสนุนทุนซื้อข้าวให้กับอคส.และ5. อคส.ได้คอมมิชชั่นค่าขายข้าวของจีจีเอฟมาเลเซียร้อยละ 2 โดยที่ในการประกาศจัดหาไซโลไม่มีเงื่อนไขการให้คู่สัญญาได้สิทธินายหน้าขายข้าวแต่อย่างใด
ทีมข่าวเกาะติดตรวจสอบในสองส่วนคือ ส่วนของการเป็นนายหน้าขายข้าว ของจีจีเอฟ มาเลเซีย นำบันทึกข้อตกลงร่วม 3 ฝ่ายมาศึกษา พบข้อพิรุธหลายประการ อาทิ ให้อคส.ได้รับค่าคอมมิชชั่นจากจีจีเอฟ มาเลเซีย 2 % ต่างจากธรรมเนียมในวงการค้าข้าว ที่เจ้าของข้าวต้องเป็นผู้จ่ายคอมมิชชั่นให้กับนายหน้า หรือในการรับฝากข้าว อคส.ซึ่งเป็นข้าวนโยบายรัฐบาล จีจีเอฟ (ไทยแลนด์)จะได้รับค่าฝากเก็บถึงปีละ 3หมื่นล้านบาท เป็นการทำข้อตกลงให้ผลประโยชน์ต่างตอบแทน
ส่วนการจัดหาไซโลนั้น ได้ศึกษาสาระประกาศ ระบุจัดหาไซโลขนาดความจุแห่งละ 2 แสนตัน ซึ่งในวงการประเมินว่าต้องใช้เงินลงทุนเฉพาะไซโลไม่รวมค่าที่ดินแห่งละไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท จำนวน 10 แห่งใช้เงินลงทุน 5,000-10,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) คู่สัญญาอคส.ในโครงการนับหมื่นล้านบาทนี้ พบว่ามีทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท อีกทั้งผู้ถือหุ้นส่อเป็นนอมินี
ขณะเดียวกันยังพบภาพข่าวสังคมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง 3 ฝ่ายระหว่างอคส. จีจีเอฟ ไทยแลนด์ และ จีจีเอฟ มาเลเซีย มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานในพิธี ทั้งที่โครงการใหญ่ระดับนี้กลับไม่มีนายกฯหรือรัฐมนตรีพาณิชย์เข้าร่วมแต่อย่างใด ต่อมาจึงพบว่า ผู้ถือหุ้นใหม่ของบริษัทจีจีเอฟ ไทยแลนด์ หลังจากได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นแล้วนั้น มีความใกล้ชิดนายสมศักดิ์ อาทินายสุวิช ชมพูนุชจินดา อดีตเป็นรองเลขาธิการพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่มี นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน ภรรยานายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นเลขาธิการพรรค
การเดินหน้ารายงานข่าว “เปิดโปงอภิมหาโครงการไซโลอคส.เอื้อประโยชน์จีจีเอฟมาเลเซีย”ครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อต่าง ๆ ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ตลอดจนคณะกรรมาธิการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการนโยบายข้าว (กขช.) ต่างร่วมตรวจสอบโครงการนี้อย่างกว้างขวาง และมีข้อสรุปในเชิงเห็นค้านการดำเนินโครงการนี้ของอคส.กันถ้วนหน้า
1.คณะกรรมาธิการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญาฯ ตั้งข้อสังเกตและข้อท้วงติงการดำเนินการของอคส.ครั้งนี้ รวมทั้งเห็นว่า อคส.เป็นหน่วยงานของรัฐ การให้จีจีเอฟมาเลเซียเป็นนายหน้าขายข้าวให้นั้น เป็นการทำธุรกิจแข่งกับเอกชน ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84
2.คณะกรรมการนโยบายข้าว (กขช.)ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ตรวจสอบว่า อคส.ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจดำเนินโครงการนี้หรือไม่ และ
3.กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าสอบสวนและสรุปผลว่า เจ้าหน้าที่อคส.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการทุจริต กำหนดเงื่อนไขอันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคา มุ่งไม่ให้เกิดการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ช่วยเหลือเอื้อให้บริษัทจีจีเอฟ ไทยแลนก์ได้มีสิทธิ์เข้าทำสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม และมีส่วนรวมกับบริษัทจีจีเอฟ มาเลเซีย ทำให้ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์เข้าเสนอราคา อันเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 3,4,7,10,11,12 บริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์)กระทำความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าวพ.ศ. 2552มาตรา 8(3) และได้ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ดำเนินการกับผู้กระทำผิดต่อไปแล้ว
การตรวจสอบของ “ฐานเศรษฐกิจ” อย่างเข้มข้น ยังผลให้บริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นนอมินีของบริษัท จีจีเอฟ มาเลเซีย ได้เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น และเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1 ล้านบาทเป็น 500 ล้านบาท ขณะเดียวได้ทำหนังสือขอยกเลิกการเป็นนายหน้าขายข้าวให้กับอคส. ล่าสุดผู้บริหารจีจีเอฟ มาเลเซีย แฉว่า เจ้าหน้าที่รัฐที่มาสอบสวนคดีนี้พยายามเรียกสินบน แต่นายธาริต เพ็งดิต อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตอบโต้กลับว่า มีความพยายามเสนอให้สินบนกับกับดีเอสไอเป็นมูลค่าถึง 50 ล้านบาท จนเรื่องบานปลายออกไปอีก
ครม.ขายมันเส้นบริษัทคนในรัฐบาล เมียเจ้าของธุรกิจนั่งที่ปรึกษา"พรทิวา" !!
ครม.ขายมันเส้น 2 บริษัท ที่แท้กลุ่มเดียวกับ บ.กาญจนาฟาร์ม ทำธุรกิจเลี้ยงสุกร พบโยงใยคนใกล้ตัว รมว.พาณิชย์ ภรรยาเจ้าของกิจการนั่งที่ปรึกษา"พรทิวา" ส่วนสามี" วิวัฒน์"เคยเป็นรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาฯ ก๊วนสมศักดิ์ เทพสุทิน
ผู้สื่อข่าว "มติชน" รายงานว่า จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบการจำหน่ายมันเส้นจำนวน 74,200 ตัน ที่ จ.กำแพงเพชร ให้แก่ผู้เสนอซื้อ 2 ราย ได้แก่ บริษัท หนองลังกาฟาร์ม จำกัด ปริมาณ 34,700 ตัน ที่ราคาเฉลี่ย 5,500 บาทต่อตัน คิดเป็นมูลค่า 191.08 ล้านบาท และบริษัท ไพรสะเดาฟาร์ม จำกัด ปริมาณ 39,500 ตัน ราคาเฉลี่ย 5,500 บาทต่อตัน มูลค่า 217.36 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2553 ให้กระทรวงพาณิชย์เจรจาต่อรองกับผู้ซื้อทั้ง 2 ราย ในการเพิ่มราคาเนื่องจากราคาที่เสนอประมูลได้ต่ำเกินไป อยู่ที่ราคาเฉลี่ย 5,264.36 บาทต่อตัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สามารถเพิ่มราคาขายได้ตามที่ ครม.อนุมัติที่ราคา 5,500 บาทต่อตัน คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 308.44 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลผู้เสนอซื้อมันเส้นทั้ง 2 ราย คือบริษัท หนองลังกาฟาร์ม และบริษัท ไพรสะเดาฟาร์ม พบว่าไม่ได้มีสถานะเป็นบริษัทนิติบุคคลแต่อย่างใด แต่เป็นฟาร์มที่อยู่ในเครือกาญจนา ของบริษัท กาญจนาฟาร์ม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสุกรขุนเป็นหลัก และจากการตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท กาญจนาฟาร์มฯ จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2534 ปัจจุบันยังดำเนินธุรกิจอยู่ มีทุนจดทะเบียน 10,000,000 บาท ตั้งอยู่ที่ 23 หมู่ 4 ตำบลวังมะนาว อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ประกอบธุรกิจเลี้ยงสุกร ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ปรากฏชื่อนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา และนายอริยนัทธ์ รังษีเสริมสุข เป็นกรรมการและผู้มีอำนาจบริษัท ส่วนนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ปรากฏชื่อเป็นกรรมการ
สำหรับผู้ถือหุ้นมี 7 คน ประกอบด้วย นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ถือหุ้นใหญ่ 80.7% นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ถือหุ้น 15% นายจิรเดช นิติกาญจนา ถือหุ้น 1.05% นางสาวชนกนันท์ นิติกาญจนา ถือหุ้น 1.05% นายธนวัชร์ นิติกาญจนา ถือหุ้น 1.05% นายอริยนัทธ์ รังษีเสริมสุข ถือหุ้น 1.05% และนางเสาวลักษณ์ เย็นใส ถือหุ้น 0.1%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลบุคคล พบว่านายวิวัฒน์เคยเป็น ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.ราชบุรี เขต 2 สังกัดกลุ่มวังน้ำยมที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นหัวหน้ากลุ่ม ก่อนจะย้ายมาตั้งพรรคมัชฌิมาธิปไตยร่วมกับนายสมศักดิ์ ในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค แต่หลังจากมีแนวโน้มว่าพรรคมัชฌิมาธิปไตยจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ส่งผลทำให้ ส.ส.บางส่วน รวมถึงนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาธิการพรรคมัชฌิชาธิปไตย ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสังกัดพรรคภูมิใจไทยในปัจจุบัน ขณะที่นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ภรรยาของนายวิวัฒน์ ก็ได้รับการแต่งตั้งจากนางพรทิวา ให้ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วย
เปิดผลวิจัยร้อน 'NGOไทย' 40ปี รับเงินต่างชาติแสนล้าน
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2545
เปิดผลศึกษา สกว. ระบุไทยมีองค์กรเอ็นจีโอ 18,000 แห่ง แต่ที่ทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์จริงๆ มีแค่ 953 แห่ง ชี้แหล่งที่มารายได้ส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาคทั้งในและต่างประเทศ 1,835 ล้านบาท/ปี ขณะที่มีรายจ่าย 364 ล้านบาท/ ปี พร้อมเปิดตัวเลขเงินบริจาคของต่างชาติในช่วงแผนฯ 1-8 เฉลี่ย 1 หมื่นล้านบาท/แผน
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงผลงานวิจัยของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำรายงาน 'โครงการวิจัยภาคองค์กรสาธารณประโยชน์ในประเทศไทย' เพื่อเสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ว่า รายงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะประมวลข้อมูลของภาคองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ไม่แสวงกำไรหรือเอ็นจีโอในประเทศไทย ทั้งขนาด ขอบเขตการทำงาน โครงสร้างการเงินและสถานะเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงพัฒนาการของบทบาทของเอ็นจีโอที่ควรจะต้องดำเนินการและต้องปรับปรุงในอนาคต
รายงานดังกล่าวได้แบ่งกลุ่มเอ็นจีโอออกเป็น 10 กลุ่มหลัก มีเอ็นจีโอทั้งสิ้น 1,493 องค์กร มีทำเลที่ตั้งในกรุงเทพฯมากสุด 721 องค์กร คิดเป็น 48.29% และที่เหลือกระจายอยู่ในภาคเหนือและภาคอีสานตามลำดับ ส่วนภาคใต้มีน้อยที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าองค์กรมักจะตั้งในทำเลพื้นที่ที่มีปัญหามาก ดังนั้น ในกรุงเทพฯจึงเป็นแหล่งที่มีปัญหามากที่สุด แต่ทั้งนี้จำนวน 1,493 องค์กรนี้ยังมีความซ้ำซ้อนในการทำงานใน 10 กลุ่มหลักอยู่ค่อนข้างมากถึง 35% ดังนั้น จะมีเอ็นจีโอเพียง 953 องค์กร และในรายงานได้ระบุว่ามีคนทำงานเฉลี่ยองค์กรละ 14 คน ดังนั้น จะมีเอ็นจีโอ 13,342 คน
แต่ถ้าวัดจากตัวเลขที่ยื่นขอจดทะเบียนในรูปมูลนิธิและสมาคม กับสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติในปัจจุบันมี 17,000 องค์กร บวกกับจำนวนเอ็นจีโอที่ไม่ได้จดทะเบียนซึ่งคาดว่ามีประมาณ 1,000 องค์กร รวมแล้วมีเอ็นจีโอ 18,000 องค์กร และส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่ตายแล้ว กล่าวคือ ร้อยละ 80-90 น่าจะไม่มีบทบาทอะไรนัก เพราะเป็นการจัดตั้งเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น ในความเป็นจริงไม่ได้ทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะที่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทำเป็นครั้งคราวและเล็กๆ น้อยๆ ในรายงานจึงระบุว่าอาจจะมีเพียง 10% เท่านั้นที่นับเป็นเอ็นจีโอจริงๆ เพราะฉะนั้น หากเอาจำนวน 18,000 องค์กรคูณจำนวนคนทำงานเฉลี่ย 14 คน/องค์กร จะมีเอ็นจีโอ 252,000 คน
รายงานยังได้ระบุต่อว่า นอกจากเจ้าหน้าที่เอ็นจีโอที่มี 252,000 คนแล้ว ยังบวกจำนวนอาสาสมัครช่วยทำงานทั้งหมดในภาคเอ็นจีโออีก 306,000 คน เพราะฉะนั้น มีจำนวนเอ็นจีโอและอาสาสมัครรวมทั้งสิ้น 558,000 คน
ค่าใช้จ่ายเอ็นจีโอ 364 ล้านบาท/ปี
ในรายงานได้สำรวจพบว่าเอ็นจีโอที่ไม่จดทะเบียนส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายต่อปีต่อองค์กร 1,239,736 บาท ขณะที่เอ็นจีโอที่จดทะเบียนในรูปมูลนิธิและสมาคม ที่ส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่ไม่ได้ตื่นตัวและมักเป็นองค์กรที่เหมือนตายแล้ว พบว่ามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยองค์กรละ 347,164 บาทต่อปี เมื่อรวมทั้งองค์กรที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียนเข้าด้วยกัน จะได้ค่าเฉลี่ยต่อปีต่อองค์กร 382,698 บาท
ดังนั้น รายงานวิจัยนี้จึงนำตัวเลขดังกล่าวมาใช้คำนวณหาค่าใช้จ่ายรวมของเอ็นจีโอ 10 กลุ่มหลักที่มีจำนวน 1,412 องค์กร มีค่าใช้จ่ายรวม 540 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของการใช้จ่ายในภาคครัวเรือน แต่ถ้านับเฉพาะเอ็นจีโอที่ขจัดความซ้ำซ้อนออกไปแล้ว ตามที่กล่าวข้างต้น 953 องค์กรคูณด้วยค่าใช้จ่าย 382,698 บาท จะพบว่าเอ็นจีโอของไทยมีรายจ่าย 364 ล้านบาท/ปี แต่ถ้านับเอาเอ็นจีโอทั้งหมด 18,000 องค์กรมาคำนวณจะพบว่า เอ็นจีโอทั้งหมดมีรายจ่าย 6,888 ล้านบาท/ปี ซึ่งรายงานระบุว่าความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดและใกล้เคียงข้อเท็จจริงมากที่สุดน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายของเอ็นจีโอที่ขจัดความซ้ำซ้อนแล้ว 953 องค์กร
รายได้เอ็นจีโอ 1,835 ล้านบาท/ปี
รายงานชิ้นนี้ได้ระบุถึงรายได้โดยเฉลี่ยของเอ็นจีโอว่ามีประมาณ 1,925,814 บาท/ปี ขณะที่รายจ่ายเฉลี่ยประมาณ 1,112,598 บาทต่อปี ทำให้เอ็นจีโอมีเงินออมที่อยู่ในรูปเงินฝากธนาคารสูงกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินขององค์กร ดังนั้น เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจทำให้ดอกเบี้ยต่ำ จึงกระทบต่อภาคเอ็นจีโอค่อนข้างมากต่อรายได้และรายจ่าย
ซึ่งการคำนวณรายได้ ถ้านับตามจำนวนเอ็นจีโอ 1,412 องค์กร คูณรายได้เฉลี่ยดังกล่าวจะมีรายได้ 2,719.24 ล้านบาท/ปี แต่ถ้าใช้จำนวน 953 องค์กร จะมีรายได้ 1,835 ล้านบาท/ปี แต่ถ้าใช้จำนวน 18,000 องค์กร จะมีรายได้ 34,664 ล้านบาท แต่ผู้ศึกษาระบุว่าความน่าจะเป็นของขนาดรายได้คือ 1,853 ล้านบาท/ปี
ทั้งนี้แหล่งที่มาของรายได้มาจาก 1.มาจากภาครัฐบาล 2.มาจากการบริจาคทั้งจากมูลนิธิ ธุรกิจและเงินบริจาคจากบุคคลทั่วไป และ 3.มาจากการคิดค่าธรรมเนียมและค่าให้บริการ รายงานกล่าวว่า สัดส่วนของแหล่งรายได้ของเอ็นจีโอในประเทศที่พัฒนาแล้วจะแตกต่างจากประเทศที่กำลังพัฒนามาก ซึ่งเหตุผลหลักน่าจะมาจากความแตกต่างในระดับการพัฒนาหรือมาตรฐานขององค์กรในภาคนี้ ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีมาตรฐานสูง มีความโปร่งใส มีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีโนว์ฮาว ขณะที่กลุ่มที่กำลังพัฒนายังไม่ค่อยได้มาตรฐานสากล มีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส ขาดการบริหารจัดการที่ดีและขาดโนว์ฮาว เช่นประเทศไทยเอ็นจีโอส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่ไม่ค่อยตื่นตัว เป็นองค์กรที่ไม่ถาวรยั่งยืนและยังขาดความเข้าใจหรือแสดงบทบาทของตนเองไม่ชัดเจน ยังมีปัญหาขาดความน่าเชื่อถือหรือยังมีภาพลบในสายตาสาธารณชนทั่วไป
เอ็นจีโอรับเงินต่างชาติเยอะแค่ไหน
ในรายงานดังกล่าวสรุปถึงแหล่งที่มาของรายได้ของเอ็นจีโอในประเทศไทยในอดีตว่ามาจากการ บริจาคทั้งในและต่างประเทศประมาณ 90% โดยแบ่งเป็นกว่า 60% มาจากเงินบริจาคจากต่างประเทศ และน้อยกว่า 40% มาจากเงินบริจาคในประเทศ แต่ในปัจจุบันแหล่งรายได้ของเอ็นจีโอมาจากเงินบริจาคจากในประเทศและต่างประเทศลดลงเหลือ 70% แบ่งเป็นมาจากต่างประเทศและในประเทศในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ส่วนที่เหลือมาจากภาครัฐบาล 20% ส่วนอีก 10% มาจากการคิดค่าธรรมเนียมที่บริการให้แก่เอกชน
รายงานยังได้สรุปความช่วยเหลือที่ประเทศไทยได้รับจากต่างประเทศในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-8 ว่า ในแผนฯที่ 1 จำนวน 155 ล้านเหรียญหรือประมาณ 3,100 ล้านบาท (20 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 2 จำนวน 280 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 5,611 ล้านบาท (20 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 3 จำนวน 173 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 3,468 ล้านบาท (20 บาท/ เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 4 จำนวน 504 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 10,087 ล้านบาท (20 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 5 จำนวน 842 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 22,085 ล้านบาท (26.2 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 6 จำนวน 1,904 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 27,913 ล้านบาท (25.5 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 7 จำนวน 715 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 18,235 ล้านบาท (25.5 บาท/เหรียญสหรัฐ) และแผนฯที่ 8 (ช่วงปี 2540-41) จำนวน 218 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 7,822 ล้านบาท (36 บาท/ เหรียญสหรัฐ)
สำหรับกลุ่มเอ็นจีโอ 10 กลุ่มหลักได้แก่ 1.กลุ่มวัฒนธรรมและสันทนาการ (15 องค์กร) 2.กลุ่มการศึกษาและวิจัย 52 องค์กร) 3.กลุ่มสาธารณสุข (529 องค์กร) 4.กลุ่มบริการสังคม (182 องค์กร) 5.กลุ่มสิ่งแวดล้อม (168 องค์กร) 6.กลุ่มการพัฒนาและการเคหะ (174 องค์กร) 7.กลุ่มกฎหมายและการเรียกร้องและการเมือง (95 องค์กร) 8.กลุ่มการกุศลและอาสาสมัคร (44 องค์กร) 9.กลุ่มกิจกรรมระหว่างประเทศ (119 องค์กร) และกลุ่มศาสนา (34 องค์กร)
คอร์รัปชัน... ทุกโครงการที่กรมอุทยานฯ
โดย : Jpongrai2004@yahoo.com
"ช่วยกันตรวจสอบหน่อยเถอะ ตอนนี้ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ โกงกันได้ทุกเรื่อง สงสารคนที่เขาจ่ายภาษี นึกว่าทำบุญให้ชาติ"
เสียงร้อนใจของข้าราชการระดับล่างคนหนึ่ง ที่ส่งข่าวให้ผู้เขียนหาทางตรวจสอบ และตีแผ่การกินหัวคิวกันในทุกๆ เรื่อง ที่เกิดในรั้วกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) หลังจากนายอำพล วงศ์ศิริ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ออกมาสะกิดบาดแผลให้แสบคัน สะดุ้งโหยงกันเล็กน้อย หลังตรวจพบการหักหัวคิวงบประมาณโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งมีการตั้งงบกว่าปีละ 100 ล้านบาทในช่วง 2 ปีก่อน แต่เม็ดเงินรั่วไหลระหว่างทางไปเข้ากระเป๋าใครก็ไม่รู้กว่าครึ่ง แถมยังมี "ผี" ขึ้นมาเซ็นชื่อรับเงินอีกด้วย ล่าสุดนายอำพลถึงขั้นลุยลงพื้นที่ไปถึงยอดดอยแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อพบกับอดีตลูกจ้างที่เคยมาปลูกป่า แต่ก็ต้องตะลึงกันอีกคำรบ เพราะทั้งหมดบอกว่าได้รับการว่าจ้างให้ปลูกป่า เพียงแค่ 3 วันๆ ละ 140 บาท แต่ไอ้ลายเซ็นข้ามปีนี่ มันปลอมชัดๆ ร้อนถึงเจ้ากรม สุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ ออกมาเด้งขานรับ สั่งให้ตรวจสอบทันที พร้อมทั้งอ้างว่าไม่ไว้หน้าทั้งสิ้น ใครทำผิดต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทุจริตในโครงการไหน ต้องสางออกให้หมด ซึ่งก็ไม่รู้จะจริงหรือหลอก เพราะนับดูแล้ว ยังมีอีกหลายโครงการที่ "ซุกอยู่ใต้พรม" และต้องเร่งตรวจสอบ เพราะรายงานข่าวรายงานว่ามีการเรียกเก็บหัวคิวกันแทบทุกโครงการจัดซื้อจัดจ้าง งบผ้าห่ม ผ้านวม ไปยันเตียงในอุทยานฯ ที่ตั้งราคาไว้สูงแต่ได้ของห่วย ไม่นับรวมโครงการอบรมชาวบ้านให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลอุทยานฯ 400 กว่ารุ่นทั่วประเทศ ตั้งค่าหัวเบิกจ่ายคืนกัน 30% ส่วนที่คาราคาซังกรณีการทุจริตตั๋วค่าธรรมเนียมในฝั่งทะเลอันดามัน ที่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่คืบ ยังไม่รวมกับโครงการฝายแม้ว สมัยอดีตรัฐมนตรีหญิง อนงค์วรรณ เทพสุทิน มีเรื่องหัวคิวกันแบบเดียวกับการปลูกป่าเป๊ะ แต่จนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าจะสาวหรือเอาผิดตัวเป้งๆ ได้ ฟังแล้วสังเวชกับเล่ห์อันแยบยล แต่มีรูรั่วให้คนระดับผู้น้อย ที่ซื่อสัตย์ ยอมคายข้อมูลให้กับหน่วยงานปราบทุจริตได้ลงมือทำงานกันบ้าง เพราะถ้านับดูกรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในสังกัด ทส. ต้องมีชื่อกรมอุทยานฯ ติดโผมาด้วยทุกครั้ง ทุกอธิบดี ทุกรัฐมนตรีก็ว่าได้ จึงถึงเวลาต้องตรวจสอบกันอย่างจริงจังสักที
Tags : คอร์รัปชัน... ทุกโครงการที่กรมอุทยานฯ