4 เซียนออกแบบผู้นำประเทศ นายกฯคนที่ 28 กล้าคิด-กล้าทำ-มีจริยธรรม
ไทยรัฐออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2554, 05:00 น.
บุคคลในแวดวงนักธุรกิจ และคอมเมนเตเตอร์ (Commentator) ชั้นแนวหน้าของประเทศช่วยกัน “ออกแบบ” ว่าที่ผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่เป็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 28” ของประเทศไทยว่า เขาหรือเธอคนนั้นควรมีคุณสมบัติอย่างไร จึงจะพาประเทศชาติรอดผ่านสถานการณ์เปราะบางของการเมืองภายใน และความผันผวนเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วในทุกด้านของโลกกลมๆใบนี้ไปได้
เขาหรือเธอคนนั้นอาจไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกต์ (Perfect) เพราะในความสมบูรณ์แบบ ย่อมมีความบกพร่องอยู่ และในความบกพร่องก็อาจมีความสมบูรณ์แบบอยู่ในตัว
ขอแต่เพียงแค่ให้เขาหรือเธอคนนั้น เป็นคนรอบรู้ กล้าคิด และกล้าลงมือทำ ความสำเร็จก็คงจะบังเกิดเป็นประโยชน์โพดผลตกอยู่กับประเทศชาติ และคนไทยได้ โดยไม่ยาก หรือต้องใช้เวลานานเกินไป
ลองพินิจพิเคราะห์ความเห็นของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ไปพร้อมๆกับ ทีมเศรษฐกิจ
ก่อนที่ผลการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในวันอาทิตย์ที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา จะชี้ชัดออกมาอย่างเป็นทางการว่า พรรคใดจะชนะการเลือกตั้ง และใครคือ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่พวกเรารอคอย
ดุสิต นนทะนาคร
ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
“ภาคเอกชนต้องการเห็นนายกรัฐมนตรีที่มีความเป็นผู้นำที่ดี กล้าคิด กล้าทำ และสามารถผลักดันนโยบายต่างๆไปสู่การปฏิบัติได้อย่างจริงจัง”
นายกรัฐมนตรีต้องมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล กำหนดนโยบายเพื่อนำพาประเทศให้เดินหน้าได้ในระยะยาว เช่น ในอีก 10-20 ปี โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็ต้องวางนโยบายให้ชัดเจน เพื่อให้ภาคเอกชนเดินตามไปทัน ไม่เช่นนั้น ภาคเอกชนจะเดินไปตามแนวทางของตนเอง อาจขัดกับแนวทางของรัฐบาลและต้องทำงานกับภาคเอกชนให้ใกล้ชิดมากขึ้น และจริงจัง
“ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาวพัฒนาประเทศให้ชัด ทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในอีก 10 ปี 20 ปี ประเทศไทยจะเดินต่อไปอย่างไร อุตสาหกรรมไหนจะก้าวทางไหน ที่ผ่านมาการกำหนดนโยบายระยะสั้น ทำให้เอกชนมองลำบาก วางแผนยาก โดยเฉพาะการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในอีก 4 ปีข้างหน้า ต้องเตรียมตัวให้มาก ไม่เช่นนั้นจะสู้ชาติอื่นไม่ได้”
ภาคเอกชนต้องการให้นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาคอรัปชัน ต้องกล้าเปลี่ยนแปลงคนที่คอรัปชัน ปัจจุบันประเทศไทยมีการคอรัปชันมาก ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุน หากไม่รีบทำเชื่อว่าใน 10-20 ปี ประเทศไทยต้องสูญสิ้นแน่
ส่วนบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจต้องฉลาดหลักแหลม สามารถผลักดันนโยบายต่างๆให้เป็นรูปธรรม และดำเนินการไปสู่เป้าหมายได้ จากที่ผ่านมารัฐมนตรีส่วนใหญ่มักไม่มีสมอง หากรัฐมนตรีใหม่ยังไม่มีสมองเหมือนเดิมอีก คงไม่สามารถกำหนดนโยบายให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
“ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของไทยไม่มีความผสมผสานกันระหว่างความเก่งและความดี ส่วนใหญ่จะมีแต่ความเก่ง บางคนเป็นผู้นำที่ดี แต่เป็นคนโกง บางคนเป็นคนฉลาด แต่ไม่กล้าคิด ไม่กล้าตัดสินใจ”
พร้อมกันนั้น ต้องการได้รัฐบาลใหม่ที่ใสสะอาด โปร่งใสในการทำงาน ไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ มีความเสียสละเพื่อส่วนรวม ซึ่งที่ผ่านๆมาไม่เคยมีคุณสมบัติเช่นนี้เลย มีแต่ความโสโครก ส่วนนโยบายบริหารประเทศก็ต้องเป็นเชิงรุกเน้นนโยบายในทุกด้านเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เน้นแต่นโยบายเศรษฐกิจ แล้วทำให้สังคมแตกแยก ขาดความสามัคคี
สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องดำเนินการเป็นอย่างแรก คือ การสร้างบรรยากาศการค้า การลงทุนให้เกิดขึ้น เพราะ 3-4 ปีที่ผ่านมา การทะเลาะเบาะแว้ง ทำให้เอกชนทำงานลำบาก
ในระยะสั้นรัฐบาลไม่ต้องทำอะไรเพื่อเอกชนมาก ขอแค่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องสร้างปัญหาน่าจะพอ เพราะภาคเอกชนส่วนใหญ่ปรับตัวแข่งขันกับต่างชาติได้อยู่แล้ว
“ไม่อยากได้รัฐบาลที่โสโครกอีกแล้ว สงสารประเทศไม่เจริญก้าวหน้าทัดเทียมประเทศอื่นๆ ทั้งที่ไทยมีพร้อมในทุกด้าน เป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีความสามารถในการผลิตสินค้าต่างๆ และหลายสินค้าไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก ของเอเชีย คนไทยมีความสามารถในการให้บริการ ส่วนภาคเอกชนก็มีความเข้มแข็งพอสมควร แต่เราไม่มีรัฐบาลที่ดี จึงทำให้ประเทศไทยขาดโอกาสในการพัฒนา”
วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย
“ต้องยอมรับว่า นอกจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันจะเป็นไปอย่างรวดเร็วแล้ว ยังมีความซับซ้อนมากขึ้นด้วย นายกรัฐมนตรียุคใหม่ จึงต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ เปิดกว้าง รับความเห็นและข้อเสนอแนะจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด บนข้อมูลที่ถูกต้อง เพียงพอ ทันการณ์”
หมดสมัยแล้วที่นายกรัฐมนตรีจะเก่งคนเดียว ผู้บริหารประเทศในปัจจุบัน เปรียบเสมือนวาทยากร ต้องสามารถดึงจุดเด่นของทีมงานขึ้นมา ต้องสามารถประสานให้คณะรัฐมนตรีบรรเลงเพลงให้ไพเราะ มีประโยชน์ และจับใจผู้ฟังให้การสนับสนุน ประชาชนสมัยนี้กล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น
ผู้บริหารประเทศต้องรับฟังและนำข้อคิดเห็นต่างๆมาพิจารณาไตร่ตรอง ข้อสำคัญคือต้องอดทน ทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มั่นใจในศักยภาพที่จะนำพาประชาชนและประเทศไทยไปสู่ความเจริญและมีการพัฒนาที่ยั่งยืน
ส่วนทีมเศรษฐกิจต้องมีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน การคลัง และต่างประเทศ ต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและสามารถวางยุทธศาสตร์ของประเทศให้อยู่ในสถานะที่ดี หรืออย่างน้อยก็ไม่เสียเปรียบ ต้องดูแลเรื่องวินัยการเงินการคลังให้ดี กล้าที่จะคัดค้านโครงการที่จะนำพาประเทศไปสู่ความไม่มีเสถียรภาพในระยะปานกลางถึงระยะยาว กล้าที่จะยืนหยัดอยู่บนหลักการและความถูกต้อง ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความยืดหยุ่น ถ้ายืนหยัดแต่ไม่ยืดหยุ่นก็อาจจะพังได้เหมือนกัน ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะโลกเปลี่ยนเร็ว อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้เหมาะสม โดยยังต้องอยู่บนพื้นฐานของความมีเสถียรภาพในระยะยาว
“สิ่งที่อยากเห็นรัฐบาลใหม่ทำ ทางด้านนโยบาย คือ 1. เร่งวางกรอบแนวทางการพัฒนาการโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายการขนส่งทางราง ท่าเรือ ถนน นโยบายการจัดการการคมนาคมทางน้ำ เรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่องการสาธารณสุข การชลประทาน การป้องกันและรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติ อุบัติเหตุ และที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์
2. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งการปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาคน ระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่บั่นทอนคุณภาพเยาวชนและคนในวัยทำงาน
3. นโยบายด้านแรงงาน นอกจากจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งต้องทยอยดำเนินการเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการปรับตัวของธุรกิจแล้ว ยังต้องขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ครู อาจารย์ และข้าราชการการเมือง อย่างน้อยให้เพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างสุขสบายพอสมควร
มีนโยบายเรื่องแรงงานต่างด้าวที่ชัดเจน ต้องยอมรับว่าเราขาดแคลนแรงงานในระดับที่ไม่ต้องใช้ฝีมือ และต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ถึงเวลาที่จะต้องมีการจัดการ ดูแลและดำเนินการอย่างมีระบบ ทั้งเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เพื่อมนุษยธรรม และเพื่อไม่เปิดช่องให้มีผู้แสวงหาประโยชน์จากแรงงานเหล่านี้
4. นโยบายเกี่ยวกับเกษตรกรและการดำเนินการสหกรณ์ให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ สินค้าเกษตร โดยเฉพาะอาหารจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในอนาคตและประเทศไทยอยู่ในฐานะได้เปรียบ เพราะเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารสุทธิอันดับ 10 ของโลก เกษตรกรควรจะได้รับประโยชน์จากวงจรนี้ และมีความมั่งคั่งและมั่นคง
5. การเปิดรับความคิดเห็นจากกลุ่มต่างๆในหลายๆช่องทางด้วยใจจริง ไม่ปิดกั้น ไม่เสแสร้ง
ปัทมาวดี ซูซูกิ
อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คุณสมบัติของผู้นำที่ประเทศต้องการในขณะนี้ ที่สำคัญที่สุดคือต้องมีความรับผิดชอบและจริยธรรมมาเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยการมีวิสัยทัศน์ ซึ่งทั้งสองข้อข้างต้นตอนนี้ยังไม่เห็นว่ามีอยู่ในตัวผู้นำพรรคการเมืองใด
ผู้นำของพรรคการเมืองที่เห็นคือ เล่นเกมการเมืองเกินไป ไม่ได้มองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบพรรคการเมืองของไทย ที่ไม่ได้เอื้อที่จะสร้างผู้นำที่มีความรับผิดชอบ จริยธรรม และมีวิสัยทัศน์ แต่กลายเป็นการสร้างผู้นำที่อยู่ในกรอบของการเป็นนักการเมือง เน้นเรื่องผลประโยชน์ของพรรค ทำให้บางครั้งต้องสูญเสียคนดีๆไปกับระบบการเมือง
“พอถึงวันเด็กเรามักจะเรียกร้อง คาดหวังให้เด็กต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อมองดูผู้นำ ที่ควรจะเป็นต้นแบบที่ดีแล้ว ยังไม่สามารถหาผู้นำประเทศที่น่าภาคภูมิใจ และสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า นี่คือผู้นำที่จะพาประเทศก้าวไปข้างหน้าได้”
สำหรับเรื่องการมีวิสัยทัศน์นั้น เป็นสิ่งที่ผู้นำของไทยจำเป็นต้องมี เนื่องจากโลกในขณะนี้มองประเด็นเรื่องบูรพาภิวัฒน์ หรือกระแสโลกเหวี่ยง มาทางภูมิภาคตะวันออกมากขึ้น การจะวางตำแหน่งของประเทศไทยในกระแสโลกที่เปลี่ยนไปจะต้องทำอย่างไร ตอนนี้ยังไม่เห็นว่าจะมีผู้นำพรรคการเมืองคนใดแสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ประเด็นต่อมาคือเรื่องโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุ ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น มีนโยบายตรงจุดนี้อย่างไร
ก็ยังไม่เห็นผู้นำพรรคการเมืองใดแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในประเด็นนี้
นอกจากนี้ในด้านการศึกษา ผู้นำจะต้องมองเปรียบเทียบการศึกษาของไทยกับของทั้งภูมิภาคว่าอยู่ในระดับใด จะวางนโยบายในการสร้างคนอย่างไร พรรคการเมืองแต่ละพรรคในขณะนี้ยังไม่มีนโยบายในการสร้างคนที่ชัดเจน แม้จะมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งสำคัญคือคุณภาพของการศึกษา เพื่อสร้างคนให้มีคุณภาพและคุณธรรมควบคู่กันไป
ปัญหาเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติที่กำลังเป็นประเด็นใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้กับโลกและนับวันจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ตรงจุดนี้ประเทศไทยจะวางมาตรการรับมืออย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้นำจะต้องมีวิสัยทัศน์ รวมไปถึงวิกฤติอาหารและพลังงานด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคู่กันที่จะต้องวางยุทธศาสตร์การผลิตในภาคการเกษตรให้ชัดเจน ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ท้าทายในอนาคตข้างหน้า
“อีกปัญหาหนึ่งที่แต่ละพรรคการเมืองมักจะพูดถึงกันคือ ความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่เท่าที่ดูในขณะนี้แม้แต่พรรคที่ได้ขึ้นชื่อว่าพรรคของคนจน ก็ยังไม่เห็นนโยบายที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมมากขึ้น ทั้งการลดการผูกขาดอำนาจในการตลาด การลดอำนาจการเมือง อำนาจเหล่านี้ถูกดูดไปกระจุกตัวอยู่ในมือของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ทำอย่างไรถึงจะมีนโยบายที่จะดึงกลับมาให้ภาคประชาสังคม เป็นการบ้านที่ผู้นำต้องไปคิด”
ไพบูลย์ นลินทรางกูร
ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย
คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการ คือ 1. ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ถือว่าสำคัญมาก เพราะขณะนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง หรือต้องปฏิรูปหลายด้าน ทั้งระบบภาษี และการศึกษา เป็นต้น
2. ต้องกล้าตัดสินใจ เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว หากไม่กล้าตัดสินใจ มัวแต่ตั้งคณะกรรมการ หรือคณะทำงานชุดนั้นชุดนี้ มาวิเคราะห์กลั่นกรอง การที่ไม่กล้าตัดสินใจชี้ขาด หรือเด็ดขาด ก็จะทำให้งานหลายอย่างเดินหน้ายาก ทำให้เสียเวลาและเสียโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ
3. ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และเข้าใจในเศรษฐกิจมหภาคอย่างดี เพราะขณะนี้ปัจจัยภายในประเทศ และภายนอกประเทศ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น คนที่เข้ามาเป็นผู้นำต้องรู้เรื่องและเข้าใจเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ
4. ต้องเป็นผู้ที่มีภาวะความเป็นผู้นำสูง และมีบารมี เพราะการเป็นรัฐบาลผสม นายกรัฐมนตรีจะต้องสามารถควบคุมรัฐมนตรีในพรรคร่วมรัฐบาลได้ เพื่อทำให้การบริหารประเทศขับเคลื่อนไปได้ การมีผู้นำที่มีบารมีสามารถขจัดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลได้
5. ต้องเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศหรือนานาชาติ เพราะขณะนี้ประเทศเราจะต้องเข้าสู่ความร่วมมือกับนานาประเทศมากมายหลายประเด็นที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น การเปิดเสรีอาเซียน และ 6. ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน มิเช่นนั้นปัญหาเดิมๆจะกลับมาอีก
สำหรับผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และ ครม.เศรษฐกิจต้องมีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ชัดเจน อยู่ในระดับรองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลเศรษฐกิจโดยเฉพาะ และต้องเป็นผู้ที่รอบรู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจมหภาคอย่างดี จะรู้เศรษฐกิจเพียงด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ ต้องครบเครื่อง และทำงานประสานงานได้กับทุกพรรคการเมือง ที่สำคัญต้องมีวินัยในการใช้จ่ายเงินในการ ลงทุนต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง ควรเป็นผู้ที่มีความรู้ และประสบการณ์ในการทำงานในตลาดเงินตลาดทุน เพราะตลาดเงินตลาดทุนมีความกว้างและลึกมาก ผู้ที่เข้ามาทำงานในด้านนี้ ต้องมีความรอบรู้พอสมควร และต้องเป็นผู้ที่สามารถบริหารงานได้ดี
ส่วน รมว.พาณิชย์ อยากได้ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ ระดับซีอีโอในบริษัทขนาดใหญ่ในภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการค้า และการส่งออก ซึ่งจะเข้าใจภาคธุรกิจ ทำให้เราได้เปรียบเพราะกระทรวงนี้ดูแลเรื่องการค้าเกี่ยวพันกับภาคธุรกิจและภาคเอกชนเยอะ ซึ่งหากมีประสบการณ์ในด้านการเงินด้วยก็จะดี
ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมและพลังงาน อยากได้อยากเห็นนักบริหารที่มีประสบการณ์ในภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ รวมทั้งควรมีคุณสมบัติในการประสานงานและสามารถต่อกรกับฝ่ายการเมืองได้ก็จะดีมาก เช่นเดียวกับกระทรวงไอซีที ผู้ที่เข้ามานั่งเป็นรัฐมนตรีต้องเข้าใจธุรกิจเอกชนและเทคโนโลยีที่สำคัญต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
“ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านที่ตนเองต้องมารับ ผิดชอบด้วย เพราะประเทศไม่สามารถที่จะเสียเวลากับรัฐมนตรีฝึกงาน หรือผู้ที่ไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ”
ทีมเศรษฐกิจ