ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ศึกษาเพื่อความจริงไม่ใช่มีไว้ให้งมงาย
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์และสื่อสารมวลชน เนื่องในโอกาสครบรอบชาตกาล 100 ปี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 ทำให้ผู้เขียนคิดถึงข้อเขียนของท่านเมื่อครั้งที่ท่านได้ไปเยือนประเทศจีนครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้วว่า
"ไปประเทศจีนเที่ยวนี้เขาพาผมไปฮวงซุ้ยซูสีไทเฮา ผมต้องยกมือไหว้ขอโทษแก เพราะผมโกหกแกไว้มากผมก็ไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ ผมอ่านประวัติเอาหนังสือฝรั่งมาค้นเยอะ แต่ผมก็แต่งของผมใหม่ อ้ายเรื่องที่ไม่ควรจะเป็น ตรงไปไม่เข้าเกร็ดพงศาวดาร ผมก็เขียนเสียใหม่ อย่างว่าแกมีลูก ผมก็เอาว่าแกไปเอาลูกคนอื่นมา ฆ่าแม่มันเสียด้วย ไม่งั้นไม่สนุก คนอ่านไม่ตื่นเต้น"
ครับ! ท่านมุ้ยก็เอาเรื่องสุริโยไทและตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็ต้องเขียนเสียใหม่เยอะเหมือนกันไม่งั้นไม่สนุก คนดูหนังไม่ตื่นเต้นซึ่งท่านมุ้ยก็ทั้งบอกทั้งเขียนแหละว่าท่านเขียนเรื่องเพิ่มขึ้นเยอะจากจินตนาการและการค้นคว้าหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของท่านแต่หลักใหญ่ใจความก็คือเอาสนุกและให้คนดูหนังตื่นเต้นนั่นเอง
แต่ที่มันเป็นเรื่องงมงายขึ้นมาก็คือมีคนไทยจำนวนไม่น้อยเกิดทึกทักว่าเรื่องในหนังสือนั้นเป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริงแบบว่าแยกความจริงจากนิยายไม่ออกนี่ซิครับน่ากลุ้มใจพิลึก
ครับ! ตรงนี้เองทำให้นึกถึงประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสช่วงการปฏิวัติใหญ่ พ.ศ.2332 ที่ผู้เขียนเคยเรียนตอนอยู่ชั้นมัธยมขึ้นมาได้
เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ เมื่อชาวปารีสนับพันคนพากันเดินขบวนไปประท้วงความขาดแคลนอาหารต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสียงประท้วงความขาดแคลนอาหาร ต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสียงประท้วงที่ดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าร้องคือ
"เราต้องการขนมปัง"
ซึ่งความนี้ทราบไปถึงพระนางมารีย์ อังตัวเนต พระมเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระนางทรงตรัสว่า "เมื่อไม่มีขนมปังจะกินแล้ว ก็ให้พวกเขากินขนมเค้กซิ"
พระดำรัสนี่ ที่ว่า "ก็ให้เขากินขนมเค้กซิ" เปรียบเสมือนเอาน้ำมันราดเข้าไปในกองเพลิง ทำเอาชาวฝรั่งเศสโกรธแค้นหนักขึ้นไปอีก ลุกลามไปจนถึงเข้าทลายคุกบาสติลล์ และเริ่มการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส ค.ศ.1789 ที่นองเลือดขึ้นมา
คำตรัสนี้ ของพระนางมารีย์ อังตัวเนต ถ้าจะแปลให้เข้าใจกันชัดๆ ในคำพูดของคนไทยก็คือ "อ้าว! เมื่อไม่มีข้าวกินแล้วก็ให้กินบะหมี่หรือเกี๊ยวเสียสิ"
ความจริง แป้งทำขนมปังราคาถูกกว่าแป้งทำขนมเค้ก และขนมเค้กยังต้องผสมไข่ ผสมนมเนย ซึ่งแพงหนักขึ้นไปอีก ที่ชาวปารีส เคียดแค้น พระดำรัสของพระนางมารีย์ อังตัวเนต นี้ แบ่งเป็นสองนัย คือ
1.เข้าใจว่า ถูกพระนางมารีย์ อังตัวเนต ประชดประชันและไม่ไยดีต่อความทุกข์ยากของประชาชน
2.เข้าใจว่า บรรดาชนชั้นสูง ต่างมีชีวิตที่แตกต่างไปจากประชาชนอย่างไม่มีทางจะเข้าใจกันได้ เหมือนรัฐมนตรีที่ต้องดื่มไวน์ทุกวัน พอประชาชนร้องเรียนว่าไม่มีข้าวจะกินก็จะให้ดื่มไวน์แทนอย่างนั้นแหละ
เราเรียนประวัติศาสตร์สากลมาเช่นนี้ จนกระทั่งมีการศึกษาประวัติศาสตร์เชิงวิทยาศาสตร์คือ มีการไปค้นคว้าสอบเอาที่มาของเรื่องที่เล่ามานี้ ปรากฏว่า พบในนวนิยายที่นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส เขียนขึ้นสนุกๆ เพื่อให้มันอย่างว่า โดยเขียนขึ้นภายหลังการปฏิวัติใหญ่ ของฝรั่งเศสถึง 40 ปี
ส่วนข้อมูลคำดำรัสของพระนางมารีย์ อังตัวเนต ในช่วงก่อนนี้ไม่มีเลยจริงๆ
แต่บังเอิญคนฝรั่งเศสไม่โชคดีเหมือนคนไทย ที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้แต่งเรื่องซูสีไทเฮา โดยท่านบอกว่าท่านเขียนสนุกๆ เติมโน่นเติมนี้ เพื่อให้เรื่องที่เป็นนวนิยายสนุกขึ้นมาเท่านั้นเอง ไม่ใช่ประวัติศาสตร์จริงๆ
คราวนี้ลองมาพิจารณาถึงสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์พระองค์สุดท้าย แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ในพงศาวดารกล่าวหาว่าเอาพระทัยใส่ต่อบรรดานางสนมกำนัล ในพระบรมมหาราชวังมากกว่าการทหารและการศึกษาสงคราม ทั้งๆ ที่กองทัพพม่าข้าศึกได้ล้อมพระนครเอาไว้แล้ว
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ยังทรงมีพระบัญชาว่าหากนายทหารผู้ใดจะยิงปืนใหญ่เพื่อต่อต้านข้าศึกจะต้องแจ้งให้ทางสำนักพระราชวังทราบเสียก่อนเพื่อให้เวลานางสนมกำนัลได้อุดหู จะได้ไม่ตกอกตกใจ ในพงศาวดารเขียนกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์กันถึงเพียงนี้
บังเอิญผู้เขียนเจอพงศาวดารอยุธยาที่เล่าเรื่องภาษี ผักบุ้ง ซึ่งนายสังข์มหาดเล็กใกล้ชิดของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์เอง ได้แอบอ้างอิทธิพลของพระเจ้าอยู่หัวไปเก็บภาษีผักบุ้ง โดยให้พวกเก็บผักบุ้งขายให้แก่เจ้าภาษีแต่ผู้เดียว ถ้าเอาไปขายผู้อื่นจะต้องถูกปรับเป็นเงิน 10 บาท เมื่อมีการผูกขาดผักบุ้งดังนี้แล้วก็มีการกดราคาซื้อผักบุ้งจากคนเก็บในราคาถูกแล้วเอาไปขายแพงๆ ต่อไป
เรื่องนี้จดไว้ว่า ศักราช 1124 มะเมีย จัตวาศก ทำภาษีผักบุ้ง
เรื่องเก็บภาษีผักบุ้งนี้ ทราบไปถึงสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์โดยพวกละครชาตรี ที่มีโอกาสไปแสดงต่อหน้าพระที่นั่งโดยจำอวดร้องซ้ำเล่าว่า
"จะเอาเงินมาแต่ไหน จนจะตายแต่เก็บผักบุ้งขายยังมีภาษี"
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงเอะพระทัย ได้เรียกตัวจำอวดมาซักถาม เมื่อทราบความก็ทรงพระพิโรธ มีรับสั่งให้เสนาบดีคืนเงินให้แก่ประชาชน
ส่วนนายสังข์มหาดเล็กตัวดี ทีแรกทรงลงโทษถึงประหารชีวิตแต่ต่อมาคลายพิโรธ จึงทรงลดโทษงดประหาร
ทำให้คิดว่าพระมหากษัตริย์ระดับนี้ มีหรือเมื่อศึกประชิดพระนครจะทรงกังวลถึงแต่นางสนมกำนัลจะตกใจจากการยิงปืนใหญ่มากกว่าความปลอดภัยของบ้านเมือง