ปวดท้องแน่นท้อง...คลำเจอก้อนเนื้อเตือนระวัง! “มะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์”
ขึ้นชื่อว่าโรคมะเร็งใครๆ ก็กลัวกันทั้งนั้น เพราะเมื่อเป็นแล้ว โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดนั้นมีน้อยเหลือเกิน ยิ่งถ้าใครมีปัญหาปวดท้อง แน่นท้อง หรือคลำเจอก้อนที่ท้อง นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้าย...มะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์!
มะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์ เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้อย่างไร พญ.สุดสวาท เลาหวินิจ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า โรคมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์ (GIST) หรือที่เรียกว่าสั้น ๆ ว่า มะเร็งจีสต์ เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง โดยแตกต่างจากมะเร็งระบบทางเดินอาหารอื่น คือ มะเร็งจีสต์ เกิดจากเซลล์ที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ โดยสามารถพบได้ตั้งแต่ระดับหลอดอาหารไปจนถึงลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย แต่ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด คือ กระเพาะอาหารประมาณ 40-60 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ ลำไส้เล็ก ประมาณ 20-40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะพบในเพศชายและเพศหญิงอัตราส่วนเท่าๆ กัน และพบมากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปี ขึ้นไป ส่วนอายุต่ำกว่า 40 ปี ค้นพบค่อนข้างน้อย อุบัติการณ์ของโรคนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบราว 5,000 รายต่อปี ในส่วนของประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคมะเร็งจีสต์ประมาณ 150 รายต่อปี และมีอัตราการเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งจีสต์ และจัดเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่ยากต่อการวินิจฉัย และการรักษา เนื่องจากผู้ป่วย 1 ใน 3 ของมะเร็งชนิดจีสต์จะไม่มีอาการ จึงแบ่งลักษณะอาการของผู้ป่วยเป็น 2 แบบ คือ แบบเฉพาะที่ กับแบบระยะแพร่กระจาย
ลักษณะอาการของมะเร็งจีสต์จะคล้ายกับมะเร็งทางเดินอาหารชนิดอื่นๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการอืดๆ ท้อง ผู้ป่วยบางรายอาจคลำพบก้อนในท้อง ซึ่งหากมีก้อนมะเร็งจีสต์อยู่ในกระเพาะอาหาร ก็อาจจะทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ โดยเลือดจะปะปนออกมากับอุจจาระ ทำให้อุจจาระมีสีดำ ส่งผลให้ตัวซีดได้ ซึ่งพบบ่อยประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ แต่อีก 30- 40 เปอร์เซ็นต์ จะรู้โดยบังเอิญ เช่น มาตรวจร่างกายประจำปี
โดยในช่วงแรกจะตรวจพบเนื้องอกอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งในช่องท้อง และมักจะไม่แสดงอาการให้เห็น เช่น ที่กระเพาะอาหาร ซึ่งมะเร็งชนิดจีสต์ ที่ยังคงอยู่บริเวณเดิมนั้น เรียกว่า การเกิดเนื้องอกเฉพาะที่ และเมื่อเนื้องอกจีสต์ เกิดการลุกลามขึ้น จะเกิดการแพร่กระจายของโรคไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จนกลายเป็นเนื้องอกจีสต์ในระยะแพร่กระจาย ซึ่งบ่อยครั้งที่เนื้องอกจีสต์เจริญเติบโตจนมีขนาดใหญ่ ก่อนที่จะถูกตรวจพบและเกิดการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ และเยื่อบุช่องท้อง
ด้านการรักษามีหลายวิธีด้วยกัน พญ.สุดสวาท กล่าวว่า บางรายใช้วิธีการผ่าตัดชิ้นเนื้อในช่องท้องออกไปแต่โอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำก็มีค่อนข้างสูง แต่ถ้าพบโรคในระยะแรกการผ่าตัดจะช่วยให้มีโอกาสหายขาดได้ หรือจะใช้วิธีแบบดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน คือ การรักษาด้วยเคมีบำบัด และการฉายรังสี แต่สำหรับผู้ป่วยมะเร็งจีสต์กลับพบว่า มีการดื้อต่อการฉายรังสีและเคมีบำบัด โดยมีการตอบสนองเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น และโรคมักกลับเป็นซ้ำอีก หรือมีการแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้
“ปัจจุบันมีการนำวิธีการรักษาโดยการให้ยากลุ่มออกฤทธิ์ต่อเป้าหมาย คือ ยาอิมมาตินิบ กับผู้ป่วย ซึ่งสามารถรักษาโรคได้อย่างเห็นผล เพิ่มโอกาสในการยืดชีวิตผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น จากการศึกษาทางคลินิกมีรายงานว่า ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่มออกฤทธิ์ต่อเป้าหมายจำนวนถึงครึ่งหนึ่ง สามารถมีชีวิตยืนยาวขึ้นมากกว่า 5 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถยืดชีวิตผู้ป่วยได้เพียง 1 ปีกว่า หรือประมาณ 19 เดือนเท่านั้น นอกจากนี้ผู้ป่วยจำนวน 68 เปอร์เซ็นต์ จะมีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองอย่างสมบูรณ์หรือตอบสนองเพียงบางส่วน โดยผู้ป่วยจำนวน 16 เปอร์เซ็นต์มีอาการของโรคคงที่”
ตลอดจนจากผลการศึกษาพบว่า การหยุดยารักษาออกฤทธิ์ต่อเป้าหมายจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้โรคลุกลามขึ้นได้ ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยจำนวนครึ่งหนึ่ง มีโรคลุกลามขึ้นในระยะเวลาที่หยุดยาไปเพียง 6 เดือน และผู้ป่วยส่วนใหญ่มีโรคกลับเป็นซ้ำ ภายในระยะเวลา 1 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจำนวน 92 เปอร์เซ็นต์ ที่กลับมาได้รับยา ในขณะที่โรคลุกลามขึ้นนั้น สามารถควบคุมโรคได้ นอกจากนี้ ในรายของผู้ป่วยที่ไม่มีร่องรอยของโรคหลงเหลืออยู่ จากการตรวจ ซีที สแกน จะยังพบอัตราการกลับมาเป็นซ้ำของโรค ภายหลังจากการหยุดยา จึงทำให้ผู้ป่วยควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดรับประทานยาโดยไม่มีสาเหตุที่จำเป็น ยกเว้น ในกรณีที่มีอาการข้างเคียงหรือตามแพทย์สั่ง แม้กระทั่งผู้ป่วยที่มีการตอบสนองที่สมบูรณ์ก็ไม่ควรหยุดยา เพื่อจะทำให้โรคไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกในประเทศไทย มีโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยมอบยาอิมมาตินิบให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังและมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์ที่มีปัญหาด้านการเงินโดยไม่คิดมูลค่า ทำให้ผู้ป่วยที่ยากไร้ได้เข้าถึงยามากขึ้น ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่มูลนิธิแม็กซ์ โครงการจีแพปไทยแลนด์ โทรศัพท์ 02-354-3828 หรือ 081-207-5155
เมื่อเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด การดูแลตนเองจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หมั่นออกกำลังกาย และสิ่งที่สำคัญ คือ หมั่นตรวจสุขภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอ หากพบอาการผิดปกติ เช่น แน่นท้อง คลำก้อนในท้องได้ ควรพบแพทย์ ถ้าวินิจฉัยได้ตั้งแต่ในระยะแรกๆ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีก่อนที่โรคร้ายจะลุกลามจนยากที่จะรักษาได้
....................
เคล็ดลับสุขภาพดี : วิธีขัดผิวให้ขาวใสเป็นธรรมชาติด้วยตัวเอง
ผิวขาวใสเป็นสิ่งที่หนุ่มๆ สาวๆ ทุกคนปรารถนา แต่ด้วยวัยที่มากขึ้นอาจเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ผิวเรามีริ้วรอย และหมองคล้ำลง การดูแลผิวด้วยวิธีการขัดผิวให้กระจ่างใสจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถกลับมาอวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีจึงมีวิธีขัดผิวด้วยตัวเองมาฝากกันค่ะปกติแล้วผิวของคนเราจะมีการผลัดเซลล์ทุกๆ 2-4 สัปดาห์ แต่เมื่ออายุเกิน 20 ปีไปแล้วการผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง ส่งผลให้เกิดปัญหาริ้วรอยและผิวหมองคล้ำตามมา การขัดผิวจะช่วยให้เซลล์ผิวเก่าที่ทับถมอยู่บนผิวหลุดออกไป เผยผิวใหม่ด้านในที่สวยใสชวนมอง
บริษัทเฮลท์คอร์ จำกัด แนะนำสูตรลับจากธรรมชาติที่ช่วยขัดผิวกายให้ขาวใสขึ้นด้วยอุปกรณ์ในการขัดผิวที่หาได้ไม่ยากและสามารถทำเองได้ อาทิ เกลือเม็ดหยาบ น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว ส่วนวิธีการขัดมีขั้นตอนดังนี้ นำเกลือมาผสมกับน้ำมันมะกอกในปริมาณที่เหมาะสม เสร็จแล้วเติมน้ำมะนาวลงไปกะดูให้พอเข้มข้น โดยเกลือจะทำหน้าที่ลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและทำความสะอาดผิวได้เป็นอย่างดี ส่วนน้ำมันมะกอกช่วยทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื่น และน้ำมะนาวจะช่วยทำให้ผิวขาวขึ้น แต่ควรผสมในปริมาณที่น้อย เพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้เกิดความระคายเคืองได้ และขณะอาบน้ำให้ขัดผิวด้วยส่วนผสมที่เตรียมไว้แล้วล้างออก
แต่ข้อควรระวังที่สำคัญก็คือให้ลองทดสอบก่อน ถ้ารู้สึกระคายเคืองให้ล้างออกและหยุดใช้ทันที และเพื่อเป็นการปรนนิบัติดูแลผิวอย่างต่อเนื่องควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง สำหรับผู้มีผิวบอบบาง การขัดผิวอาจทำให้เกิดอาการแสบขณะขัดถูผิวบางส่วน กรณีที่แพ้ง่ายให้ลองสังเกตว่าเป็นการแพ้จากภูมิแพ้หรือสารเคมี หากแพ้สารเคมีก็สามารถขัดผิวด้วยสมุนไพรได้ จะช่วยให้ผิวดูดีขึ้น และหลังการขัดผิวทุกครั้งควรบำรุงผิวด้วยการทาครีมเพื่อเป็นการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ซึ่งการใช้ครีมบำรุงผิวจะมีประโยชน์มากสำหรับการดูแลผิวในระยะยาวและควรเลือกครีมทาผิวให้เหมาะกับผิว
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนวัตกรรมใหม่เป็นกลูต้าสำหรับทาผิวในรูปแบบใหม่ด้วยการทำงานของ Whitening คุณภาพสูง 3 ชนิด ได้แก่ Glutathione, Natural Arbutin และ Vitamin C ที่ช่วยปรับสภาพผิวให้สว่างใสขึ้น เนื้อครีมบางเบาด้วยขนาด 50 นาโนเมตรทำให้สารต่างๆ แทรกซึมลงชั้นผิวได้อย่างดี ไม่เหนียวเหนอะหนะ ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย แต่การที่เราจะมีผิวพรรณขาวสวยสดใสดูสุขภาพดีได้นานๆ นั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้ามคือ การให้อาหารแก่ร่างกายเพื่อเสริมสร้างผิวด้วยการรับประทานผัก ผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงที่ที่มีฝุ่นละออง มลภาวะ แสงแดดและความเครียด เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผิวดูสวยสุขภาพดีแล้ว
หนุ่มๆ สาวๆ คนไหนอยากมีผิวพรรณที่ขาวใสเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ หากมีวันหยุดหรือวันว่าง ลองมาขัดผิวง่ายๆ ด้วยตัวเองดู เพราะนอกจากจะได้ผิวที่สวยขาวใสแล้วยังถือเป็นการผ่อนคลายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต อีกด้วย ได้สุขภาพดี 2 ต่อแบบนี้ต้องหาเวลาว่างให้ได้นะคะ
....................
สรรหามาบอก
-โรงพยาบาลกรุงเทพ จัดโครงการ งาน “Big Give เกิดที่นี่ คลอดที่นี่ ไม่มีค่าใช้จ่าย” เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ และฉลองครบรอบ 40 ปี ของโรงพยาบาล โดยมี นายแพทย์ ชาตรี ดวงเนตร ประธานคณะผู้บริหารศูนย์การแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นประธาน ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการดูแลตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอด นอกจากนี้ยังเชิญชม ครรภ์จำลอง บอกเล่าเรื่องราวที่คุณไม่เคยรู้และจำลองบรรยากาศเสมือนอยู่ในท้องคุณแม่เพื่อเป็นการเผยแพร่ สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน ในวันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2554 เวลา 13.30 – 15.00 น. ณ โถง ชั้น 1 (ข้างเวชระเบียน) โรงพยาบาลกรุงเทพ
-สถาบันพัฒนาโครงสร้างดีสปายน์ จัดกิจกรรม “Dspine Love MOM : รักแม่พาแม่ตรวจกระดูกสันหลัง” ในวันพุธที่ 10 สิงหาคม 2554 เวลา 15.30 – 18.00 น. ที่สถาบันดีสปายน์ ชั้น 2 อาคารพรีเมียร์คอนโด ซอยสุขุมวิท 24 (ข้างเอ็มโพเรียม) ผู้ที่สนใจติดต่อลงทะเบียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ Dspine Care Center 0-2261-0485,08-6328-6494
-โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย บริการตรวจสุขภาพและสมรรถภาพร่างกายให้กับประชาชนทั่วไป เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2554 เวลา 07.30-14.00 น. ณ อาคาร ภปร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ภายในงานมีบริการตรวจสุขภาพ ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ พร้อมชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้สนใจเข้ารับบัตรคิวและลงทะเบียนตรวจสุขภาพฟรีได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 0-2256-5487, 0-2256-4409, 0-2256-4260
-ดร.คิงส์ตัน คลินิก สุขุมวิท 48 ร่วมแสดงความรักเนื่องในวันแม่ ขอเชิญประชาชนผู้สนใจตรวจร่างกายด้วยเครื่อง Quantum Energy Scan โดยไม่ต้องเจาะเลือด ไม่ต้องอดอาหาร เพื่อตรวจการทำงานของกระดูกสันหลัง เส้นประสาท ความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง การทำงานของอวัยวะภายใน ระดับฮอร์โมน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตลอดเดือนสิงหาคม สอบถามและสำรองชื่อเข้ารับบริการได้ที่ 0-2712-2063-4,08-9061-9629
ทีมวาไรตี้