อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ข่าวแพร่สะพัดไปเร็วดุจฟ้าแลบในปี 1919 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ซึ่งได้เฝ้าสังเกตการเกิดสุริยคราสได้ทดสอบและยืนยันว่า ทฤษฎีแปลกใหม่ของไอน์สไตน์ที่ว่าแรงโน้มถ่วงทำให้แสงเดินทางเป็นเส้นโค้งได้นั้นเป็นความจริง นับแต่นั้นคำว่า “สัมพันธภาพ” (relativity) จึงแทบจะกลายเป็นคำศัพท์ในชีวิตประจำวันไป
ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์สัญชาติเยอรมันมีอายุเพียง 26 ปีขณะที่เขาตีพิมพ์ทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษ (Special Theory of Relativity) เมื่อปี 1905 ซึ่งกล่าวว่า การเคลื่อนที่ เวลาและระยะทาง ล้วนเป็นสิ่งไม่สัมบูรณ์ ทั้งหมดล้วนสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่ของกรอบอ้างอิง (frames of reference) นั้นคือ เราไม่สามารถบอกการเคลื่อนที่ที่แท้จริงของสิ่งใดได้หากไม่นำไปเปรียบเทียบกับการเคลื่อนที่ของอีกสิ่งหนึ่ง ในผลงานชิ้นถัดมาเขานำเสนอสมการ E = mc2 หรือพลังงานเท่ากับมวลคูณความเร็วแสงยกกำลังสอง ซึ่งเผยให้เห็นถึงพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวของอะตอม ที่ถูกนำไปพัฒนาเป็นระเบิดปรมาณูที่มีอำนาจทำลายล้างสูงในเวลาต่อมา
พอถึงปี 1916 ไอน์สไตน์ก็เผยแพร่ทฤษฎีที่สองที่คิดค้นได้ นั่นคือ ทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไป (General Theory of Relativity) ซึ่งผนวกเอาเรื่องความเร่งและความโน้มถ่วงเข้ามาใช้ด้วย และทฤษฎีดังกล่าวสามารถนำมาอธิบายถึงสภาพเอกภพซึ่งเป็นกาล-อวกาศที่บิดโค้ง (Curved Space and Time)
เมื่อปี 1921 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการค้นพบเกี่ยวกับแสงและไฟฟ้า ต่อมาเมื่อปี 1933 หลังจากฮิตเลอร์ยึดอำนาจในเยอรมันนี ไอน์สไตน์ตัดสินใจอพยพไปสหรัฐฯ และได้เข้ารับตำแหน่งในสถาบันการศึกษาขั้นสูงในปรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ก่อนจะเสียชีวิตในปี 1955 นักฟิสิกส์ผู้มีทรงผมยุ่งเหยิงเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ทั้งยังมีบุคลิกอ่อนน้อมและต่อต้านสงครามผู้นี้ ก็ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกด้วยผลงานต่างๆ ของเขาที่ทำให้มนุษย์เข้าใจเรื่องราวของเอกภพมากขึ้น