ReadyPlanet.com
dot dot
dot

dot
ตราครุฑ




"เด็กไทย"กับการเรียนบน "แท็บเล็ต" ทางสองแพร่ง "ระบบการศึกษาเมืองไทย" article

"เด็กไทย"กับการเรียนบน "แท็บเล็ต" ทางสองแพร่ง "ระบบการศึกษาเมืองไทย" (สกู๊ปแนวหน้า)
 
ยังคงใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยเช่นเดิม สำหรับสำนวนที่ว่า "การศึกษาเป็นรากฐานของสังคม" เพราะไม่ว่าพรรคการเมืองใดขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็มักจะชูธงนโยบายการศึกษา เป็นเครื่องมือในการหาเสียงอยู่เป็นประจำ

แต่จะมีสักกี่ครั้งที่ทำได้จริงตามคำให้สัญญา ที่พ่นผ่านออกมาจากลมปากของเหล่านักการเมืองไทย ซึ่งความจริงก็คงเห็นๆ กันอยู่!!!

ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย รายงานว่า อย่างไรก็ตามเมื่อม้าแข่งสีแดง อย่างพรรคเพื่อไทย (พท.) วิ่งเข้าวิน ก็ได้ย้ำถึงนโยบายพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้วยการประกาศแจกแท็บเล็ต จำนวน 800,000 เครื่อง แก่เด็กชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 1 ซึ่งมีอายุราว 6 - 7 ขวบทุกคน (One Tablet One Per Child) โดยตั้งงบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนนโยบายนี้อย่างเต็มตัว

พร้อมกับสายตาที่จับจ้องมาจากทุกฝ่ายในสังคม โดยเฉพาะ "นายพราน" อย่างนักธุรกิจจมูกไว ที่พร้อมกระโจนเข้าตะคลุบ "ผลประโยชน์" ตรงนี้อย่างไม่คาดสายตา

โดย รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านศูนย์ข่าวปฏิรูปประเทศไทยถึงนโยบายการศึกษาไทยว่า ขณะนี้มีความจำเป็นอย่างมาก ที่ประเทศไทยต้องก้าวไปสู่ยุคของข่าวสาร เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และประชาคมอาเซียน แต่จากการสังเกตนโยบายการศึกษาของพรรค พท. มีลักษณะ "ประชานิยมฉาบฉวย" เพราะไม่ได้ไปถึงแก่นของสังคมสารสนเทศ และไม่ได้นำไปสู่สังคมของการเรียนรู้อย่างแท้จริง ซึ่งต่างกับนโยบายต่างประเทศที่มีการวางแผนเตรียมการอย่างต่อเนื่อง

รศ.ดร.สมพงษ์ ตั้งข้อสังเกตว่า การแจกแท็บเล็ต นั้น เท่าที่ได้ศึกษามาจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ควรนำไปแจกเด็กที่มีวุฒิภาวะและเป็นวัยที่กระตือรือร้น ในการฝึกทักษะเสาะแสวงหาข้อมูลต่างๆ ไม่ใช่นำแท็บเล็ตมาแจกเด็ก ป.1 ซึ่งเป็นวัยที่ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ฉะนั้นเด็กเหล่านี้จะไปเสาะแสวงหาข้อมูลได้อย่างไร อีกทั้งจากงานวิจัย การแจกแท็บเล็ตนั้น ถือว่าไม่ได้คำนึงถึงความรอบด้านของตัวเด็ก และไม่ได้คิดถึงผล กระทบที่จะตามมาในอนาคต

"หากพรรคเพื่อไทยยังดันทุรัง ที่จะแจกแท็บเล็ต เพียงอย่างเดียว ก็จะก่อให้เกิดอันตราย หรือเป็นการฆ่าเด็กไทยทางอ้อม เพราะเด็กส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในเรื่องที่ไม่เหมาะสม อย่างการสร้างพื้นฐานให้เด็กคุ้น เคยกับการใช้อิเลคทรอนิกส์ ซึ่งนำไปสู่เรื่องเกม ตามวัยที่เด็กอยากรู้อยากเห็นต่อไป ที่สำคัญคำว่าแจก อีกนัยหนึ่งก็หมายถึง "หายนะ" นั่นเอง เพราะไม่ได้สอนให้คนพร้อมที่จะรับอย่างมีสติ" รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

รศ.ดร.สมพงษ์ แสดงความกังวลหากมีการแจกแท็บเล็ตว่า เมื่อเด็กอยู่กับเทคโนโลยีมากๆ สังคมรอบตัวเด็กจะอ่อนแอลง ทั้งสังคมที่เป็นธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์จะหายไปจากตัวเด็ก แต่กลับกันสังคมจะมีเด็กที่อ่อนแอมากขึ้น และเกรงว่าเด็กจะมีพฤติกรรมที่แฝงไปด้วยความรุนแรง การแข่งขันและความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้เมื่อมีความพยายามที่จะปรับเปลี่ยนพื้นฐานการศึกษาแบบไทยๆ ทั้งการฝึกเขียน ฝึกอ่าน และใฝ่หาความรู้ตามตำรับตำรา ให้ถูกผ่องถ่ายจากหน้าหนังสือเรียนมาเป็นหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ จึงทำให้นโย บายการศึกษาของพรรค พท. ระลอกนี้ ดูเสี่ยงที่จะ "แลกหมัด" กับคะแนนนิยมพอสมควร เพราะหากประสบผลสำเร็จ ก็ถือว่าเป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ในการ "ปฏิรูปการศึกษาไทย" เลยทีเดียว กลับ กันถ้าผลลัพธ์จากการแจกแท็บเล็ต กลายเป็นการหยิบยื่นมีดให้กับเด็ก ป.1 นโยบายโก้หรูดังกล่าวคงจะเกิดอาการ "เมาหมัด" จนส่งผลให้ "ล้มไม่เป็นท่า" เช่นเดียวกัน

แต่มีสิ่งหนึ่งที่พรรค พท.ต้องกลับไปคิดให้ตกผลึกว่า วุฒิภาวะสำหรับเด็กอายุ 6 - 7 ขวบนั้นเพียง พอแล้วจริงหรือ...ที่จะใช้แท็บเล็ตไปในแนวทางที่ถูกที่ควร เพราะอย่าลืมว่าเด็กวัยนี้ ไม่ต่างอะไรกับ "แก้วเปล่า" ที่รอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ รอบตัวมาเติมให้เต็มแก้ว ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา อยากเสพสื่อที่รุนแรง สื่อที่ยั่วยุทางเพศเข้าไป นั่นหมายถึง "หายนะ" สำหรับเด็กที่เป็นรากฐานของประเทศในอนาคตอย่างแน่นอน

ในประเด็นนี้ รศ.ดร.สมพงษ์ เสนอแนะว่า ขณะนี้ถือว่ายังไม่สาย สำหรับนโยบายแจกแท็บเล็ตของพรรค พท. ที่ยังกลับไปคิดให้รอบคอบขึ้นได้ อย่างการหากลยุทธ์ป้องกันให้รอบด้าน พร้อมกับรับฟังเหตุผลจากเสียงรอบๆ ด้าน แต่ทั้งนี้พรรค พท. ก็ต้องแจกแท็บเล็ตให้กับเด็กไทยทุกคน ตามนโยบายที่ประกาศให้ได้ ขณะเดียวกันอย่าลืมว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตชิพเทคโนโลยีส่งต่างประเทศ เพราะฉะนั้นรัฐบาลควรสนับสนุนการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อผลิตแท็บเล็ต อย่างดี ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อยอด จากนั้นต้องจ้างมหาวิทยาลัยต่างๆ มาทำซอฟแวร์ เกี่ยวกับเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอน เช่น หลักสูตรวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ควบคู่กันไป

รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนทางด้านสังคมไทย ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนอย่างเต็มที่ 100% เช่น เด็กปัจจุบันที่อายุ 7 ขวบ มีบัตรประชาชน จะต้องควบคุมการเข้าร้านเกม หรือร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ และต้องตรวจบัตรอย่างจริงจัง พร้อมทั้งบังคับใช้กฎหมายการจำหน่ายซอฟแวร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาให้แก่เด็ก อีกทั้งต้องเตรียมการความพร้อมบุคคลากร "ครู" ที่จะทำอย่างไร ให้เกิดการเชื่อมโยงกับหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ลักษณะนี้

"แม้พรรค พท.ทำนโยบายแจกแท็บเล็ตตามที่ได้ประกาศ พร้อมกับหามาตรการรองรับไว้แล้ว แต่อย่าลืมคำนึงถึงเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นในเรื่องนี้ไว้ด้วย เพราะเรื่องดังกล่าวจะมีค่าคอมมิชชั่นสูง และเรื่องเหล่านี้เคยมีประวัติมาแล้วทั้งสิ้น เพราะราคาแท็บเล็ตต่อเครื่องอยู่ที่ประมาณ 4,000 - 5,000 บาท ถ้าต้องแจกทั้งประเทศต้องใช้งบประมาณมหาศาล ดังนั้นการทำนโยบายนี้ต้องระมัดระวัง แม้ด้านหนึ่งมีภาพที่หรูหรา แต่อีกด้านหนึ่งก็มีมุมมืดเช่นกัน" รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวเตือน

เหรียญมักมีสองด้านเสมอ แม้หลายฝ่ายจะมองด้านมืด หรือจุดด้อยของนโยบาย "เจ้าบุญทุ่ม" ของพรรค พท.ที่อาจะส่งผลต่อการศึกษาของเด็กไทยในอนาคตก็ตาม แต่ทางเจ้าของนโยบายเอง มีความเห็นด้านบวกที่แตกต่างออกไป

โดย นายภาวิช ทองโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค พท. ตัวแทนเจ้าขอนโยบาย ชี้แจงว่า ในประเด็นการชูนโยบายหาเสียงเรื่องการแจกแท็บเล็ตนั่น เป็นเสมือนดารานำเท่านั้น แต่นโยบายหลักของการศึกษามีรายละเอียดอีกมาก ซึ่งอยากจะเรียนว่า อุปกรณ์แท็บเล็ตนั่น ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญของการศึกษา แต่เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมของระบบการศึกษาเท่านั้น สำหรับเรื่องข้อกังวลต่างๆ ที่สังคมส่วนใหญ่เป็นห่วง ขอยืนยันว่าสำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้ ทางพรรค พท.สามารถหามาตรการรองรับได้

"แต่ถ้าไม่มีการแก้ไขด้านการศึกษาเลย ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าอย่างลำบาก เพราะการศึกษาตกต่ำ คุณภาพของประเทศก็จะตกต่ำตามไปด้วย" นายภาวิช กล่าว

นายภาวิช ชี้แจงต่อว่า ที่สังคมมองว่าการแจกแท็บเล็ต จะกลายเป็นดาบสองคมหันกลับมาทำร้ายเด็ก หากนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ตรงนี้ไม่อยากให้สังคมมองภาพแคบเกินไป จะเป็นการจำกัด การเรียนรู้ของเด็ก เพราะอีกมุมหนึ่งของเทคโนโลยีก็มีศักยภาพทางบวกอยู่มาก เนื่องจากเราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่กับคุณภาพการเรียนการสอนได้ โดยเริ่มจากการจัดอบรมครู ซึ่งในเรื่องนี้ครูจะต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เช่น โครงการเข้าอบรมครูหลักสูตรของกระทรวงศึกษา โดยประเด็นสำคัญ คือ จะเอาอะไรใส่เข้าไปในหลักสูตรการอบรม ส่วนมาตรการรองรับเรื่องของงบประมาณ ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะเงินกับพรรค พท.ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว และสามารถใช้กลไกอื่นเข้ามาได้ อย่างภาษีจากธุรกิจไอซีที ที่จะนำมาสนับสนุนเรื่องของการศึกษาต่อไป

"ทางพรรค พท.ตระหนักดีว่าการศึกษาของไทยแย่มาก ซึ่งถ้าไม่มีการแก้ไขด้านการศึกษาเลย ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าอย่างลำบาก เพราะการศึกษาตกต่ำ คุณภาพของประเทศก็จะตกต่ำด้วย ดังนั้นจึงได้เขียนร่างวางนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ให้เป็นมาตรการเร่งด่วน โดยเริ่มจากการพัฒนาคุณภาพความรู้ที่อยู่ในระบบการเรียนการสอน คือ การรื้อหลักสูตร ตำราเรียน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยตั้งเป้าทำให้ได้ภายใน 3 เดือนแรก โดยตรงนี้เราสามารถใช้แท็บเล็ตในการส่งเสริมได้ เพราะขณะนี้ทุกประเทศได้ใช้เทคโนโลยี เพื่อการศึกษามาเป็นกลไกสำคัญในการปฏิรูประบบความรู้หมดแล้ว" นายภาวิช แจงถึงสิ่งที่พรรค พท.ต้องทำอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้เมื่อ "ผู้ใหญ่" ต้องการที่จะรื้อระบบการศึกษาแบบไทยๆ ที่คุ้นเคย ให้มีความกระตือรือร้นและวิ่งตามโลกรอบข้างให้ทัน แต่ "เด็ก" จะรู้เท่าทัน "โลกออนไลน์" ด้วยหรือไม่ คำตอบคงอยู่ที่ผลลัพธ์ในไม่ช้านี้...

SCOOP@NAEWNA.COM
 
วันที่ 19/8/2011




ข้อคิดมุมมอง เชื่อหรือไม่ สาระน่ารู้ เรื่องจริง หรือหลอกลวง (พุทธวจน การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก)

ข้อควรระวังในการซื้อของออนไลน์ article
ซื้อของออนไลน์โปรดระวัง article
5 สุดยอด SELF-TRANSFORM เปลี่ยนตัวเองให้ตื่นเช้า เป็นที่รัก ตัดสินใจเด็ดขาด article
‘กฎ 20 วินาที’ ใช้ความขี้เกียจให้เป็นประโยชน์ article
ไม่ต้องฉลาดกว่าใคร เอาแค่ ‘ฉลาดกว่าตัวเอง’ ก็พอ article
เกิดมาต้นทุนต่ำ ก็รวยได้ ทำแบบนี้ article
อาชีพ ที่ทำรายได้สูงสุด ในปี2021 article
ใครเป็นคน ลิขิตชีวิตคุณ article
4 คุณสมบัติที่บ่งชี้ว่าคุณมี "วุฒิภาวะ" article
4 วิธี "ดึงดูดเงินเข้ามาในชีวิต" article
4 สิ่งที่ควรจำ เพื่อจะทำให้ "สำเร็จ" article
เหตุผลที่ทำให้คุณเป็นคนไม่มั่นใจ article
ทำตัวยังไง ? ให้มีเสน่ห์ article
27 ข้อคิด ในชีวิต 27 ปี article
จะเริ่มรับรู้คุณค่าในตัวเองอย่างไร จากที่ Low Self-Esteem มาทั้งชีวิต article
กลับมารักตัวเองอย่างไรหลังผูกชีวิตติดกับคนอื่น? จัดการความรู้สึกเมื่อถูกทักว่าอ้วน? article
ถ้าสมองสั่งให้รักเงิน จะทำให้อย่างไรมีความสุขนอกจากการใช้เงินบ้าง article
วิธีแก้ท้อที่ดีที่สุด article
5 soft skills ที่เป็นที่ต้องการที่สุดในยุคนี้ article
วิธีเด็ดสลัดอารมณ์หรือความคิดที่เราไม่ชอบ article
คิดจะ “ฆ่าตัวตาย” มีทางออกที่ง่ายกว่านั้นเยอะ article
เลิกกันแล้วยังเกลียดชัง~ระวังลูกจะมีปัญหา!!! article
สังคมเลว...เพราะคนดีท้อแท้!!! article
เปลี่ยนคำพูดธรรมดาให้มีคุณค่าทางใจ article
บอกข้อผิดพลาดโดยไม่ยั่วโมโหอีกฝ่าย article
การโน้มน้าวใจแบบไม่กดดัน สบายใจทั้งเขาและเรา article
เคล็ดลับความมั่นใจคือ "เห็นคุณค่าในตัวเอง" article
4 สิ่งที่ควรจำ เพื่อจะทำให้ "สำเร็จ" article
5 สิ่ง "ทรงคุณค่าที่คนธรรมดาก็ทำได้" article
20 อย่างที่แสดงว่าคุณเติบโตแล้ว และกำลังมีชีวิตที่ดี article
คำถามสำคัญคือ “จะลงมือเมื่อไรดี” article
เอาชนะตัวเอง article
ถ้าอยากมีความสุขขึ้น อย่าพูดแบบนี้ article
ใครติดโซเชียลจนไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ..แก้ได้ article
คนแบบนี้ยังไงก็มีความสุข article
ทำดีเอาหน้า อย่างนี้ก็ได้หรอ ! article
ถ้าฝึกนิสัยนี้ ยังไงก็ไม่ ล้มเหลว article
เด็กรุ่นใหม่ ไม่มีสมาธิ จริงหรือ ? article
ความรัก article
อิสระภาพกับการตามใจ article



เว็บไซต์ www.legendnews.net ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการคัดลอกหรือเปลี่ยนเป็นชื่อเว็บของท่าน