สปิโนซา กับ พระเจ้าของไอน์สไตน์
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.legendnews.net
สปิโนซา เป็นใคร สำคัญอย่างไร ไม่เป็นที่รู้จักกันนัก สำหรับวงการทั่วไป ยกเว้นวงการปรัชญา จนกระทั่งเมื่อไอน์สไตน์ได้ถูกความเชื่อความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าเขาเชื่อเรื่องพระเจ้าหรือไม่?
คำตอบของไอน์สไตน์ คือ เขาเชื่อในเรื่องของพระเจ้า แบบเดียวกับที่ สปิโนซา เชื่อ
แล้วไอน์สไตน์ เชื่อว่า...พระเจ้าเป็นอย่างไร?
ไอน์สไตน์ตอบชัดเจนว่า เขาไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าเป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจวิเศษ ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ สามารถหรือมีหน้าที่ควบคุมชะตาชีวิตของมนุษย์บนโลก...
พระเจ้าของไอน์สไตน์คือ กฎกติกาของธรรมชาติ ที่ควบคุมสภาพและความเป็นไปของสรรพสิ่งในจักรวาล
ตามทัศนะของไอน์สไตน์ ภารกิจของนักวิทยาศาสตร์ ในการค้นหาองค์ความรู้ใหม่ จึงเป็นเหมือนกับการเล่นเกมถอดรหัสกฎเกณฑ์ต่างๆ ของธรรมชาติ ความพยายามของนักวิทยาศาสตร์จึงเปรียบเสมือนกับความพยายามที่จะเข้าใกล้พระเจ้า และทุกครั้งที่มีการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ของธรรมชาติ ก็เหมือนกับการก้าวเข้าใกล้พระเจ้าอีกก้าวหนึ่ง
จากการกล่าวถึงสปิโนซาของไอน์สไตน์ ทำให้ชื่อของสปิโนซาโดดเด่นขึ้นมา และทำให้วงการทั่วไปอยากรู้จักสปิโนซา และความคิดความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าของสปิโนซาให้มากขึ้น
เบเนดิกต์ สปิโนซา (Benedict Spinoza) หรือ เบเนดิกตุส เด สปิโนซา (Benedictus De Spinoza) เป็นนักปราชญ์ชาวดัตช์เชื้อสายยิวโปรตุเกส เกิดวันที่ 24 พ.ย. 1632 ได้รับการยกย่องในวงการปรัชญาเป็นหนึ่งในนักปราชญ์คนสำคัญที่สุดของโลกแห่งศตวรรษที่ 17 เกิดก่อน เรอเน เดส์การ์กต์ (Rene Descartes) นักปราชญ์และนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสคนสำคัญของโลกจะถึงแก่กรรมเพียง 18 ปี
เรอเน เดส์การ์กต์ เป็นเจ้าของความคิด ระบบพิกัดคาร์ตีเซียน (Cartesian Coordinate system) ใช้เลขสามตัวแทนด้วย (x, y, z) ที่ใช้ระบุตำแหน่งของจุดใดๆ ในโลกสามมิติได้อย่างแม่นยำ ถูกกล่าวหาว่า เป็นต้นกำเนิดความคิดมองระบบต่างๆ ของธรรมชาติ และความเป็นตัวตนของมนุษย์แบบแยกส่วน เป็นเจ้าของคำกล่าวสะเทือนวงการศาสนาโลกว่า “I think, Therefore I Am” (ฉันคิดดังนั้นฉันจึงเป็น)
สปิโนซาเป็นกระบอกเสียงสำคัญคนหนึ่ง ทำให้โลกรู้จักปรัชญาความคิด แบบคาร์ตีเซียนของเรอเน เดส์การ์กต์ (คาร์ตีเซียนมาจากชื่อของเรอเน เดส์การ์กต์ เป็นภาษาละติน Renatus Cartesius ที่เขาใช้ในการนำเสนอความคิดทางด้านปรัชญา วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์)
สปิโนซาเป็นคนมีแววอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก เขาจึงเป็นนักเรียนคนโปรดของครู และก็ถูกคาดหวังว่าจะเติบโตเป็นพระคริสต์ หรือผู้นำทางศาสนาคริสต์ที่ดี แต่สปิโนซาก็มีแววแสดงความเป็นตัวของตัวเองสูงด้านความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับศาสนา ทำให้เขามีปัญหากับสังคมชาวยิว ที่เคร่งศาสนาแบบจารีตดั้งเดิมบ่อยๆ
เมื่อสปิโนซาอายุ 17 ปี เขาต้องออกจากสถาบันการศึกษา เพื่อเข้ารับผิดชอบธุรกิจครอบครัวแทนบิดาที่ถึงแก่กรรม และก็ยิ่งแสดงความคิดทางด้านศาสนาของเขาชัดเจนขึ้น เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับความคิดความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อความศรัทธาและความเข้าใจต่อ “พระเจ้า” หรือ “GOD” แบบจารีตเก่าแก่ จนกระทั่งถูกเรียกตัวไปขึ้นศาลพระที่กรุงอัมสเตอร์ดัม เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 1656 ขณะมีอายุ 24 ปี และถูก “ตัดขาด” ห้ามร่วมสังฆกรรมทางด้านศาสนาใดๆ กับสังคมชาวยิวเคร่งครัดศาสนาคริสต์แบบจารีตดั้งเดิม คำสั่งห้ามที่จริงๆ แล้วก็ยังไม่ถูกยกเลิกถึงปัจจุบัน
ถึงแม้สปิโนซาจะมีความคิดเป็นของตัวเองที่รุนแรงเกี่ยวกับศรัทธาและความเชื่อในศาสนาคริสต์แบบจารีตเก่าแก่ของยิว แต่โดยปกติเขาก็ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ กับอาชีพการฝนเลนส์ ซึ่งทำให้เขามีรายได้พอสำหรับการเลี้ยงชีพ จนกระทั่งสามารถทุ่มเทชีวิตและความคิดให้กับการศึกษาและพัฒนาเรื่องของปรัชญา แนวคิดใหม่ที่เริ่มจาก เรอเน เดส์การ์กต์ และปราชญ์ในอดีต ซึ่งก็ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงการปรัชญาอย่างกว้างขวาง
สปิโนซามั่นคงในวิถีการดำเนินชีวิตที่สันโดษ เรียบง่าย ทว่าลึกซึ้งในเรื่องของปรัชญา เขาปฏิเสธรางวัลและเกียรติคุณต่างๆ ที่มีการนำเสนอต่อเขาตลอดชั่วชีวิต ดังเช่น การปฏิเสธตำแหน่งศาสตราจารย์ทางด้านปรัชญา ที่ Heidelberg University เมื่อ 1673 แต่เขาไม่ปฏิเสธที่จะได้สนทนาถกลึกกับปราชญ์และนักคิด ดังเช่น กอตต์ฟรีด ไลบ์นิซ (Gottfried Leibniz : 1646- 1716 นักปราชญ์และนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน 1 ใน 2 ผู้ค้นพบแคลคูลัสคู่กับไอแซก นิวตัน) ซึ่งได้เดินทางไปพบสปิโนซา
ผลงานสำคัญที่สุดของสปิโนซา เป็นผลงานตีพิมพ์หลังจากที่เขาถึงแก่กรรมไปแล้ว คือ Ethics (จริยศาสตร์ หรือจริยธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี 1677 ปีเดียวกับที่เขาจากโลกนี้ไป
ในระหว่างที่สปิโนซายังมีชีวิตอยู่ มีผลงานสำคัญตีพิมพ์ออกมา 2 ชิ้น คือ Principles of Cartesian Philosophy (หลักการของปรัชญาคาร์ตีเซียน) ในปี 1663 และ Treatise on theology and Politics (เรื่องของเทววิทยาและการเมือง) ตีพิมพ์ปี 1670 ผลงานแรกและความคิดเห็นของสปิโนซาที่ปฏิเสธความเชื่อความศรัทธาตามจารีตเก่าแก่ของยิวเกี่ยวกับพระเจ้า ที่มีอิทธิพลต่อสรรพสิ่งและชะตาชีวิตของมนุษย์ ทำให้สปิโนซามีปัญหากับฝ่ายศาสนาตามจารีตยิวเป็นประจำ จนกระทั่งในการตีพิมพ์ผลงานชิ้นที่สอง (Treatise On Theology And Politics) ไม่ระบุชื่อผู้เขียน
สำหรับผลงานสำคัญที่สุดของสปิโนซา คือ Ethics เป็นผลงานขนาดใหญ่ ซับซ้อน สรุปความคิดของเขาเกี่ยวกับจริยธรรมโดยทั่วไป เจาะลงลึกความคิดข้อเสนอของเดส์การ์กต์ ที่แยกส่วนของร่างกาย (Body) กับวิญญาณ (Soul) ของมนุษย์ แต่แตกต่างกับความคิดของเรอเน เดส์การ์กต์ ในบทบาทและความเกี่ยวพันระหว่างร่างกายกับวิญญาณ และสำคัญที่สุดคือ จุดยืนความคิด ความเชื่อ ของสปิโนซาเกี่ยวกับพระเจ้า
บทสรุปความคิดที่ตกผลึกของสปิโนซาเกี่ยวกับพระเจ้าคือ พระเจ้า (GOD) กับธรรมชาติ (Nature) เป็นสิ่งเดียวกัน ความมีอยู่และบทบาทของพระเจ้าก็คือ สภาพการดำรงอยู่และความเป็นไปของธรรมชาติ พระเจ้าเป็นทุกสิ่งในธรรมชาติและจักรวาล พระเจ้าจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของจักรวาล แต่พระเจ้าจะไม่มีความสำคัญเป็นพิเศษให้แก่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง เป็นการเฉพาะเลย
สปิโนซาถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 1677 ด้วยวัยเพียง 45 ปี ก็ด้วยสาเหตุการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการฝนเลนส์ และเศษฝุ่นผงของเลนส์นี้เองที่เขาสูดดมเข้าร่างกายเป็นประจำ ไปทำลายปอดของเขา
หลังจากที่สปิโนซาจากโลกไปแล้ว ปรัชญาความคิดของเขาก็ได้รับความสนใจจากวงการปรัชญามากขึ้น มีนักคิด นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์หลายคน ที่ไม่เห็นด้วยกับเขา และเห็นด้วยกับเขา แต่บุคคลสำคัญที่สุดที่ทำให้ชื่อของสปิโนซาสดใสสว่างขึ้นมาในศตวรรษที่ยี่สิบก็คือ ไอน์สไตน์ ที่กล่าวออกมาชัดเจนว่า ความคิดความเชื่อของไอน์สไตน์เกี่ยวกับพระเจ้า เป็นความคิดความเชื่อแบบเดียวกันกับของสปิโนซา