ฝึกการมีอารมณ์ดีในชีวิตคู่ด้วยเทคนิค Empathy
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 สิงหาคม 2554 09:18 น.
|
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |
|
|
|
ใคร ๆ ก็อยากมีอารมณ์ดี เพราะทำให้มีความสุข ซึ่งในโลกนี้มีแนวคิดเพื่อให้อารมณ์ดีหลาย ๆ อย่าง แต่คราวนี้ทีมงานขอหยิบยกแนวคิดเรื่อง Empathy หรือการสลับตัวตน และความคิดทั้งหมดจาก ศ.ดร.นายแพทย์วิทยา นาควัชระ จิตแพทย์ ผู้เขียนหนังสือรู้ทันความรักมาแบ่งปันกัน ซึ่งลึกซึ้งกว่าการเห็นอกเห็นใจกัน และมากกว่าความสงสาร และมีประโยชน์อย่างมากสำหรับคู่สามีภรรยา หรือคู่รักที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
เมื่อเอ่ยถึงชีวิตคู่ หญิงชายบางคนอาจมีมุมมองความคิดที่แตกต่างกันออกไป อย่างผู้หญิงก็อาจคิดว่าผู้ชายไม่ควรเจ้าชู้ น่าจะพูดเพราะ ๆ เข้าใจผู้หญิง และช่วยรับผิดชอบในครอบครัวให้มากขึ้น และคิดว่า ถ้าเขาเป็นผู้ชาย เขาจะไม่ทำอย่างนี้แน่นอน
ส่วนผู้ชายก็คิดไปว่า ทำไมผู้หญิงจับผิดเก่งจัง ชอบพูด ชอบว่า ชอบบ่น ทะเลาะกันมากขึ้น ไม่ได้มีความสุขเลย อารมณ์เสียเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเขาเป็นผู้หญิง เขาจะไม่เป็นอย่างที่ภรรยาเป็นอยู่ตอนนี้หรอก
ความคิดของทั้งสองคน มองดูผิวเผินเหมือนทั้งคู่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
สำหรับคนกลาง หรือคนไกล่เกลี่ยก็อาจจะหลงประเด็น คิดว่าจริง ๆ น่าจะเป็นอย่างที่คู่กรณีคิดแทนกันและกัน คือ ในกรณีคู่สามีภรรยา สามีไม่ควรเจ้าชู้ และรับผิดชอบมากขึ้น ส่วนภรรยาก็จะต้องไม่จับผิด ไม่บ่นมาก เรื่องก็น่าจะจบแบบ Happy Ending และทุกฝ่ายก็จะมีความสุข มีอารมณ์ดี
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย ธรรมชาติของคน เขาเคยเป็นอย่างไรก็จะเป็นแบบนั้น แก้ไขได้ยาก เปลี่ยนแปลงได้ยาก
สามี หรือภรรยาอาจจะรับปากว่าจะเปลี่ยนแปลง หรือคนไกล่เกลี่ยพยายามหาทางให้เขายอมรับข้อบกพร่อง และเปลี่ยนแปลงนิสัยเสีย แต่เอาเข้าจริง ๆ เปลี่ยนได้ยากครับ และยิ่งจะทำให้ทุกฝ่ายผิดหวังในกันและกันมากขึ้น
แต่ถ้าลองใช้เทคนิคความคิดแบบ Empathy หรือ การสลับตัวตน และความคิดทั้งหมด เข้ามาช่วย เราจะสบายใจขึ้น คือ ให้คิดว่า
1. ทุกคนเปลี่ยนแปลงไม่ได้
2. ถ้าจะสลับตัวสลับความคิด ต้องคิดว่าเราต้องสลับ “ตัวตนและความคิดทั้งหมดของเขา” ไม่ใช่ไปสลับหรือไปคิดแทนเขาบางเรื่อง เช่น เรื่องข้อบกพร่อง ซึ่งไม่ใช่ตัวตนจริง ๆ ของเขา เพราะตัวตนจริง ๆ ของเขามีมากกว่าที่เรารู้จัก มีทั้งสิ่งดี และสิ่งไม่ดี
3. เราจะเกิดความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายหนึ่งอย่างลึกซึ้งว่า ที่เขาเปลี่ยนแปลงนิสัยไม่ดีบางอย่างไม่ได้ หรือมีส่วนไม่ดีบางอย่างนั้น มาจาก "ตัวตนและความคิดทั้งหมดของเขา" จริง ๆ ซึ่งมาจากพันธุกรรม การเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็ก และสิ่งแวดล้อมของเขา กลายเป็นตัวตน และความคิดทั้งหมดของเขา ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือยากมาก
และเขาก็ต้องทุกข์ หรือความไม่เจริญจากข้อบกพร่องของตัวเขาเองอยู่แล้ว ซึ่งเห็นชัด ๆ อยู่ เราคงไปช่วยเหลือแก้ไขอะไรเขาได้ยาก เช่น ลูกน้องก็ไม่ได้ถูกเลื่อนขั้นเพราะขี้เกียจ นายก็เครียดและไม่มีความสุข ส่วนในกรณีสามี ก็เสียเวลา เสียเงินจากการเจ้าชู้ ภรรยาก็เครียด และเหนื่อยเพราะพูดมาก และชอบจับผิด
4. เมื่อเราเข้าใจตามข้อ 3 แล้ว เราก็จะยอมรับลักษณะด้อยของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างไม่ทุกข์ และไม่เสียอารมณ์กับสิ่งบกพร่องของคู่กรณี จะเกิดความเห็นใจ อยากช่วยเหลือ และอภัยเขาได้ ถ้าจะรักกันต่อไป หรือจะทำงานกันต่อไป ก็จะยอมรับข้อบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่งได้
5. อารมณ์ของเราก็ดีขึ้น ไม่หงุดหงิด เพราะเข้าใจอีกฝ่ายแล้ว โดยเราทำใจให้อยู่กับความเป็นจริงของเขา อยู่กับตัวตน และความคิดทั้งหมดของเขา ไม่ใช่พอใจอยู่กับบางส่วนที่ดี ๆ ของตัวตนเขา และปฏิเสธสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวตนจริง ๆ ของเขา และรู้ว่าถ้าเราเป็นเขา เราก็จะทำอย่างเขานั่นแหละ
6. ถ้าทนไม่ได้กับตัวตน และความคิดทั้งหมดของเขาจริง ๆ ก็ถอยห่างจากเขาออกมา มองเขาแบบเผิน ๆ ไม่จ้องจับผิดเขา เราจะมองผ่านเขาได้อย่างสบาย เพราะเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติรอบตัวเรา ซึ่งมีทั้งเราชอบ ไม่ชอบ และเฉย ๆ ไม่มีสิ่งใด ผิด หรือถูกเลย เป็นแค่ชอบ หรือไม่ชอบ แค่นั้นเอง
ถ้าทุกฝ่ายคิดได้แบบนี้ ก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความแตกต่างกัน บางคนก็จะค่อย ๆ พัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น บางคนก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยจนตายจากกัน แต่ทุกฝ่ายจะไม่เสียอารมณ์ หรือเครียดจากการต้องอยู่กับคนที่แตกต่าง มีความบกพร่องในระดับต่าง ๆ กัน และยังรักกันได้ โดยเข้าใจ และยอมรับอีกฝ่ายจากทั้งหมดของตัวตน และความคิดของเขา โดยไม่ต้องพูดอีกเลยว่า ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ทำอย่างนี้หรอก
ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงกันดูนะครับ ทั้งตัวเอง และโลกจะเบาขึ้น และมนุษย์จะรักกันได้สะดวกใจขึ้น