วันอาทิตย์ ที่ 28 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น. เดลินิวส์
เด็กเล็กและเด็กอ่อน มีความไวและอ่อนไหวต่อปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างมาก เพราะภูมิต้านทานตามธรรมชาติยังไม่แข็งแรง โดยเฉพาะในเด็กที่ไม่ได้ดื่มน้ำนมมารดา ด้วยเหตุใดก็ตาม ประกอบการใช้พรม ติดผ้าม่าน มีน้องแมว น้องสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยง ดูจะเป็นเทรนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ทุกโรงพยาบาลมีผู้ป่วยเด็กโรคภูมิแพ้ เข้า ๆ ออก ๆ ทำการรักษาอยู่เป็นประจำ และมีจำนวนมากเพิ่มขึ้นการพบแพทย์ ตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรคเป็นเรื่องซ้ำซาก รวมทั้งการรักษาต่อเนื่องเป็นภาระแก่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองเป็นอย่างมาก ประเด็นสำคัญที่ควรตระหนักคือ วิธีปกป้องและป้องกัน ควบคุมและหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดโรคนี้หรือจับอาการภูมิแพ้
วิธีการควบคุมและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น
1. การคลุมเครื่องนอน
2. การซักล้าง
3. การดูดฝุ่น
4. การใช้เครื่องฟอกอากาศ
5. การปรับสภาพแวดล้อมในบ้าน
การคลุมเครื่อง นอน
เป็นวิธีที่มีประ สิทธิภาพ และใช้กันอย่างแพร่หลายช่วยให้ผู้ป่วยลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้ ทำให้อาการของโรคภูมิแพ้ทุเลาลง และวิธีการใช้งานยังสะดวกในชีวิตประจำวัน
ผ้าคลุมกันไรฝุ่นสามารถป้องกันไรฝุ่นได้อย่างไร
*ไรฝุ่นจะอาศัยอยู่ในเครื่องนอน ได้แก่ ที่นอน หมอน ผ้านวม ดังนั้น ผ้าคลุมนี้จึงช่วยป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นออกมาภายนอก และไม่ให้ฟุ้งกระจายในอากาศทำให้เราสูดดมเข้าไป
*วิธีใช้คือ สวมคลุมที่นอน หมอน ก่อนสวมทับด้วยปลอกหมอน หรือผ้าปูที่นอนที่เคยใช้ปกติประจำวันควรเลือกซื้อผ้าคลุมกันไรฝุ่นแบบไหนดี
*ควรเลือกซื้อผ้าคลุมกันไรฝุ่นชนิดเนื้อผ้าทอแน่น โดยที่รูระหว่างเส้นใยผ้าเล็กพอที่จะป้องกันตัวไรฝุ่น หรืออุจจาระของไรฝุ่นได้
*โดยทั่วไปตัวเต็มวัยของไรฝุ่นมีขนาดประมาณ 300 ไมครอน และอุจจาระของไรฝุ่นมีขนาดประมาณ 10-40 ไมครอน
เนื้อผ้าชนิดทอแน่นสามารถป้องกันตัวไรฝุ่น
และอุจจาระของไรฝุ่นไม่ให้ออกจากหมอนหรือที่นอนได้
การซักล้าง
เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เนื่อง จากสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นจัดเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่สามารถละลายได้ในน้ำ การซักล้างด้วยน้ำที่อุณหภูมิใด ๆ ก็ตาม สามารถกำจัดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่สามารถทำลายตัวไรฝุ่นได้ ดังนั้น การซักล้างด้วยน้ำที่อุณหภูมิ 55-60 องศาเซลเซียส เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที จะสามารถทำลายตัวไรฝุ่นได้ โดยควรทำเป็นประจำทุก ๆ 2 สัปดาห์
การดูดฝุ่น
เป็นวิธีปฏิบัติที่น่าจะได้ผลดี แต่การดูดไรฝุ่นที่มีชีวิตค่อนข้างทำได้ยาก เนื่องจากตัวไรฝุ่นสามารถยึดเหนี่ยวกับเส้นใยผ้าไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
เครื่องดูดฝุ่นที่มี High filtration system (HEPA filter) น่าจะได้ผลดีกว่าเครื่องดูดฝุ่นธรรมดา เพราะสามารถดักจับสารก่อภูมิแพ้ไม่ให้ฟุ้งกระจายในขณะดูดฝุ่น
อย่างไรก็ดี การดูดฝุ่นจะทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของสารก่อภูมิแพ้ทุกชนิด ดังนั้น จึงควรเปิดหน้าต่างและสวมผ้าปิดปากและจมูกในขณะดูดฝุ่น
การใช้เครื่องฟอกอากาศ
การฟอกอากาศแต่เพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีประสิทธิภาพในการลดปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ แต่ก็ไม่มีข้อเสียในการใช้เนื่องจากสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น เป็นสารที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ (มากกว่า 10-40 ไมครอน) จะฟุ้งกระจายเมื่อมีแรงมากระทบที่นอน และจะตกลงภายใน 5 นาที ดังนั้นการใช้เครื่องฟอกอากาศดักจับในระยะห่างจึงได้ผลน้อย แต่สารก่อภูมิแพ้ประเภทอื่น ๆ เช่น ละอองเกสรและเชื้อราจะมีอนุภาคขนาดเล็กทำให้สามารถลอยตัวในอากาศได้นาน จึงสามารถขจัดได้ดี
การปรับสภาพแวดล้อมในบ้าน
*พรมเป็นแหล่งสะสมที่สำคัญของสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน ซึ่งในปัจจุบัน พบว่ายังไม่มีวิธีใดที่มีประสิทธิภาพในการขจัดสารก่อภูมิแพ้ในพรมให้หมด ไปได้จากการเอาพรมออก
*การเช็ดถูด้วยผ้าเปียกจะสามารถขจัดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้มากกว่าการเช็ดถูด้วยผ้าแห้ง
*การจัดห้องนอนให้โล่งโปร่ง แสงแดดส่องถึง ไม่ควรมีมุมของรกหรือกองหนังสือ ที่เป็นแหล่งสะสมฝุ่น เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ของใช้ของเด็กเล่นและตุ๊กตาไม่ควรเป็นชนิดมีเส้นใย
*การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพอากาศภายในบ้าน ห้องนอน หรือห้องพัก โดยการลดระดับความชื้นและอุณหภูมิในห้องนั้น ซึ่งเชื่อว่าช่วยให้สภาพไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของ ไรฝุ่น
ข้อมูลจาก นายแพทย์ปรีดา สง่าเจริญกิจ กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพญาไท 1 / http://www.phyathai.comมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับ กองทัพบก จัดรายการการกุศล สายธารศรัทธาสู่ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา (โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา, หลังคาแดง) 122 ปี ขอเชิญชมรายการการกุศล ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ในวันพุธที่ 7 กันยายน 2554 เวลา 22.35-00.20 น. ร่วมบริจาคเพื่อหารายได้สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วย จัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ครุภัณฑ์ต่าง ๆ และสมทบทุน “กองทุนสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9” เพื่อผู้ป่วยจิตเวชยากไร้.
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์