อริยมรรค 8
อริยมรรค ๘ ความเห็นชอบ คือ เห็นว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงว่ามันไม่เที่ยง เห็นว่าความไม่เที่ยงทำให้เกิดทุกข์ เห็นว่าทุกข์ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด เห็นความจริง หรือ เห็นอริยสัจสี่
ความคิดชอบ เป็นผลต่อเนื่องมาจากความเห็นขอบ คือ เมื่อเห็นว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง ก็ไม่คิดว่า มันเป็นเรา เป็นของเรา เพราะมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ความคิดเช่นนี้ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
การพูดชอบ เป็นผลมาจากความคิดชอบ เมื่อคิดว่า มันไม่ใช่ของเรา มีอันต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ก็ไม่พูดว่า นี่เรา นี่ของเรา ฯ เสียงด่าเข้าหู ก็ไม่คิดโกรธ ไม่ด่าตอบ เพราะเสียงด่าก็ไม่ที่ยง ไม่น่าเอามาเป็นสาระ เกิดความคลายกำหนัดในเสียง ฯ
การกระทำชอบ เป็นผลมาจากความคิดเห็นชอบและการพูดชอบ เมื่อคิดว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ฯ จะลักจะขโมย จะทำอะไรไม่ดี ก็ไม่มี
การดำรงชีพชอบ เป็นผลมาจากการกระทำชอบ เมื่อปกติไม่ทำอะไรผิด การดิ้นรนเอาตัวรอด ที่ไม่ดี เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น เกิดจากความโลภ ความหลง ก็ไม่มี สำหรับพระภิกษุ มีสัมมาอาชีวะอย่างเดียวก็คือเลี้ยงชีพด้วยการขอ หรือ บิณทบาตร
ความพยายามชอบ เป็นผลมาจากการดำรงชีพชอบ คือ ไม่พยายามที่จะทำสิ่งที่ผิด เพราะการอยู่โดยไม่โลภ โกรธ หลง จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่ดิ้นรนในสิ่งที่ไม่ดี
การระลึกชอบ เป็นผลมาจากความพยายามชอบ คือระลึกถึงความจริงเสมอว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ฯ
ความตั้งมั่นชอบ เป็นผลมาจากการระลึกชอบ เมื่อระลึกถึงความจริงเสมอๆ จิตก็ตั้งมั่นอยู่ในความจริง
จะเห็นว่า องค์ธรรมทั้งหมดในมรรค ๘ มีความจริง หรือ สัมมาทิฐิเป็นฐาน หรือ เป็นประธาน ถ้าไม่มีสัมมาทิฐิเสียแล้ว องค์ธรรมที่เหลือจะเรียกว่า สัมมาไม่ได้เลย
สัมมาสมาธิ อันมีองค์ธรรมที่เหลือเป็นบริขาร หมายถึง การตั้งมั่นในความจริงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความจริง ไม่มีสัมมาทิฐิจนถึงสัมมาสติประกอบเข้าด้วยกัน
ผลของการเดินตามทางอันประเสริฐนี้ คือ จะเป็นการฝึกฝนตนเองให้อยู่กับความจริงตลอดเวลา เมื่อความจริงตั่งมั่น จะทำให้เห็นโลกและชีวิตเป็นธรรมดา หรือเห็น กาย เวทนา จิต (ชีวิต) ธรรม (โลก) ตามความเป็นจริงจนเป็นปกติวิสัย หรือ เกิดสติปัฏฐาน ขึ้นมาในบุคคล