"อังคารศักดิ์สิทธิ์" กับ10ปีที่สูญเปล่าของมนุษยชาติ

โดย ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmail.com



แฟ้มคดีชื่อรหัส "2BJs 67/01-5" ของสำนักงานสืบสวนอาชญากรรมแห่งชาติ (บีเคเอ) ในเยอรมนี บ่งบอกเรื่องราวของ "ซาอิด บาฮัจยี" ชายสัญชาติเยอรมันเชื้อสายโมร็อกโกโดยเฉพาะ มันหนามากขึ้นตามลำดับเวลาที่ผ่านไป

"บีเคเอ" เปิดแฟ้มคดีนี้ขึ้นมาไม่นานหลังเหตุการณ์วินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในย่านโลเวอร์ แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001

"2BJs 67/01-5" เป็นส่วนหนึ่งของคดีสะท้านโลกนั้น และเป็นหนึ่งในจำนวนหลายแฟ้มคดีของบุคคลที่เป็นต้นตอของเหตุการณ์นี้ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "ฮัมบูร์ก เซลล์" หน่วยปฏิบัติการย่อยของขบวนการก่อการร้ายอัลเคด้า ในเมืองฮัมบูร์ก ที่เป็นผู้ "ลงมือ" ก่อเหตุที่รู้จักกันในเวลาต่อมาว่า "เหตุการณ์ 9/11"

เรื่องราวของ "ซาอิด บาฮัจยี" อาจมีนัยหลายอย่างในสายตาของหลายคน แต่สำหรับผมมันเป็นภาพสะท้อนของการ "สูญเปล่า" ของปฏิบัติการที่พวกเขาเรียกขานกันในเวลานั้นว่า "ปฏิบัติการอังคารศักดิ์สิทธิ์"

สูญเปล่าโดยสิ้นเชิง

ซาอิด อายุ 36 ปีแล้วในเวลานี้ เขาควรหนุ่มแน่น เปี่ยมพละกำลัง ใช้ความคิดและสมองอันละเอียดอ่อนไปเพื่อรังสรรค์ประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่น

แต่ตรงกันข้าม ซาอิดในยามนี้กลับต้องอดมื้อกินมื้อ ขาข้างหนึ่งพิกลพิการจากอาการบาดเจ็บ และต้องหลบหนีการไล่ล่าอย่างไม่คิดชีวิตอยู่ในวาซิรีสถาน ดินแดนไร้ขื่อแปทางตอนเหนือของปากีสถาน

เขากลายเป็นคนสุดท้ายในฮัมบูร์ก เซลล์ ที่ยังหลงเหลืออยู่ เป็นคนเดียวที่บีเคเอยังปิดแฟ้มคดีไม่ได้ แต่ชะตากรรมของเขาไม่ได้ดูดีกว่าเพื่อนร่วมขบวนการอีกหลายคนมากมายนัก

หลายคน รวมทั้งโมฮัมเหม็ด อัตต้า "เอเมียร์" หรือ "ท่านผู้นำ" ของฮัมบูร์ก เซลล์ เสียชีวิตไปกับ "โอเปอเรชั่น โฮลี่ ทิวส์เดย์" ผู้วางแผนปฏิบัติการครั้งนี้อย่าง "คาหลิด ชีค โมฮัมเหม็ด" และ "รามซี่ บินัลชิบห์" คนสนิท ยังคงทนทุกข์อยู่ในกวนตานาโม

"โมฮัมเหม็ด ซามมาร์" ชาวเยอรมันเชื้อสายซีเรีย คนที่ "ล้างสมอง" และเกณฑ์พวกเขาให้ "ตาย" ให้กับความว่างเปล่า ก็ถูกจับกุมและใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำในกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย

แม้แต่ "โอซามา บิน ลาเดน" คนที่พวกเขายึดถือเป็นแรงบันดาลใจผิดๆ ก็กำลังเน่าเปื่อยเป็นเหยื่อป้อนฝูงปลาอยู่เหนือพื้นดินใต้มหาสมุทร



ซาอิด บาฮัจยี ใช้ชีวิตวัยเด็กในฮาเซลูน ในรัฐโลเวอร์ แซกซอนี่ ทางเหนือของเยอรมนี มารดาเป็นเยอรมันที่แต่งงานกับชายชาวโมร็อกกัน เมื่ออายุ 9 ขวบครอบครัวย้ายกลับไปใช้ชีวิตในเมืองมัคเนส ในโมร็อกโก เพราะปัญหาทางด้านการเงิน

ปี 1995 เขากลับมาเยอรมนีอีกครั้งหลังจบมัธยม สมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเทคนิค ฮัมบูร์ก-ฮาร์บวร์ก คณะวิศวกรรมไฟฟ้า สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์

ที่นี่เองที่เขาพบกับอัตต้า-ท่านผู้นำ, บินัลชิบห์ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง เซลล์ในฮัมบูร์กกับแกนนำอัลเคด้าในอัฟกานิสถาน, ไซอัด ยาร์ราห์ และมาร์วัน อัล เชห์ฮี อีกสองคนที่ถูกคัดสรรให้เป็น "นักบิน" ร่วมกับอัตต้า ในเที่ยวบิน "มรณะ" ตามปฏิบัติการ "อังคารศักดิ์สิทธิ์"

ไม่มีใครแน่ใจว่า แผนปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อใด แต่เป็นที่ชัดเจนว่า ฮัมบูร์ก เซลล์ เริ่มลงมือตามขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่ราวปี 1998 เมื่อซาอิด บาฮัจยี ไปเช่าอพาร์ตเมนต์ที่อาคาร "มารีนสตราสเซ่ 54" ในฮัมบูร์ก สำหรับใช้เป็นฐานปฏิบัติการ พร้อมๆ กับใช้เป็นที่รวมตัวและที่พักของพวกเขาทั้งหมด

บาฮัจยีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อกลับมาเยอรมนีอีกครั้ง การตีความศาสนาของเขากลายเป็นสุดโต่งและรุนแรง เข้มข้นชนิดพี่สาวต้องเข้าพบอาจารย์ขอร้องให้หาทางช่วยบรรเทาความรุนแรงในความคิดของเขาลง เมื่อเขายืนกรานให้ครอบครัวเลิกดื่มโคคาโคลา และต้องไม่สูบบุหรี่มาร์ลโบโร

เพราะนั่นคือ "ผลผลิตของซาตาน"!

ซาอิดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งใน "ฮัมบูร์ก เซลล์" นอกจากจะเป็นผู้ดูแลบัญชีของกลุ่ม จัดการเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เช่าอพาร์ตเมนต์ ไปจนถึงการจัดหาคอมพิวเตอร์และจัดการระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์

ตุลาคม 1999 ซาอิดเข้าพิธีแต่งงานกับภรรยาที่สุเหร่าอัล คุดส์ ในฮัมบูร์ก กำเนิดลูกชายคนหนึ่งในเวลาต่อมา ซึ่งอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ เมื่อ "นักบิน" ทั้งหมดเดินทางไปเข้าค่ายฝึกในอัฟกานิสถาน จึงไม่มีซาอิดร่วมอยู่ด้วย

3 กันยายน 2001 ไม่กี่วันก่อนหน้ากำหนดวันปฏิบัติการ "อังคารศักดิ์สิทธิ์" ซาอิดถึงเดินทางออกจากเยอรมนี มุ่งหน้าสู่การาจีในชื่อ "อาบู ซูฮาเอียร์" เข้าร่วมกับทาลิบันต่อสู้กับกองทัพพันธมิตรนาโตที่นั่น แตกร่นพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่ขา ที่ทำให้เขาพิการเดินขาลากมาจนถึงทุกวันนี้เข้าสู่วาซิรีสถาน ตะเข็บชายแดนรอยต่อระหว่างอัฟกานิสถานและปากีสถาน หลบหนีการถล่มด้วยอากาศยานไร้นักบินได้หวุดหวิดหลายครั้ง ถูกหย่าร้างตัดขาดจากลูกและเมีย ที่เขาพยายามมากครั้งอ้อนวอนผ่านอีเมล์ให้เดินทางมาร่วมชะตากรรมกับตนเอง

10 ปีที่ผ่านมาของซาอิด บาฮัจยี ไม่เพียงสูญเปล่าอย่างยิ่งสำหรับปัจเจกผู้หนึ่ง

สิ่งที่เขากับพวกร่วมมือกันกระทำลงไปยังส่งผลให้ 10 ปีที่ผ่านมา กลายเป็น 10 ปีแห่งความรุนแรงที่ไร้ประโยชน์สำหรับทุกคนทุกฝ่ายอีกด้วย



หากความล้มเหลวของซาอิด บาฮัจยี ที่ต้องใช้ชีวิตไปวัน-วัน เพียงเพื่อเอาชีวิตรอด อยู่ภายใต้เปลือกของอัลเคด้า ที่เริ่มเปราะบางมากยิ่งขึ้น คือตัวแทนของความล้มเหลวของฮัมบูร์ก เซลล์ และสิ่งที่พวกเขากระทำลงไป

อะไรคือความสูญเสียของมนุษยชาติโดยรวมเล่า?

ภาพหลายๆ ภาพบ่งบอกได้ถึงความล้มเหลวที่ว่านี้ ในด้านหนึ่งเราได้เห็นภาพทารุณกรรมที่เรือนจำกลางอาบูกราอิบ ในอีกด้านหนึ่ง เราได้เห็นภาพการสังหารหมู่อย่างเลือดเย็นที่เกาะอูโทยา

หากนำภาพเหล่านี้มาวางเรียงต่อกันเข้ากับภาพปรักหักพังของอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เราก็จะได้ภาพความบ้าคลั่ง ขาดสติและรุนแรงอย่างไร้เหตุผลของมนุษยชาติได้อย่างชัดเจนยิ่ง

เหตุการณ์ 9/11 ผลักดันสหรัฐสุดโต่งไปอีกด้านหนึ่ง พวกเขาดิ้นพล่านอยู่ในท่ามกลาง "สงครามกับการก่อการร้าย" จนบิดเบือน และ/หรือ หลงลืมค่านิยม อุดมการณ์ของตนเอง ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมาย สุดท้ายเพียงเพื่อให้ได้แก้แค้น

สหรัฐลงเอยด้วยการทำลายตัวเอง ทั้งชื่อเสียง เกียรติภูมิ และเศรษฐกิจ

แทนที่จะจำกัดสงครามอยู่เพียงแค่การขับไล่อัลเคด้า ออกจากอัฟกานิสถาน จอร์จ ดับเบิลยู. บุช กลับทำให้ 10 ปี หลัง 9/11 กลายเป็น 10 ปีของ "สงครามอุดมการณ์" ในระดับโลก ประเมินศักยภาพของชาติเกินความเป็นจริง ทุ่มทรัพยากรมหาศาลลงไปจนเกินความเป็นเหตุเป็นผล

ความตายอย่างครึกโครมของเหยื่อราว 3,000 คน จาก 78 ประเทศ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ถูกถมทับด้วยการเสียชีวิตของทหารอเมริกันอีกกว่า 6,000 นายในอัฟกานิสถานและอิรัก นี่ไม่นับเหยื่อพลเรือนอีกเป็นจำนวนมาก กับผู้ลี้ภัย-พลัดถิ่นอีก 5 ล้านคน

กับเงินงบประมาณที่ประเมินกันในเวลานี้ว่า สูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์!!

สหรัฐต่อสู้กับความรุนแรง ด้วยความรุนแรง

เพียงเพื่อก่อให้เกิดความรุนแรงมากยิ่งกว่า ขึ้นมาเท่านั้นเอง!



ปฏิบัติการอังคารศักดิ์สิทธิ์ หรือ 9/11 ไม่ว่าจะเรียกขานในรูปแบบใด สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ทั้งโลกเต็มไปด้วยอันตรายและการแบ่งแยกฝักฝ่ายอย่างไร้เหตุผล ไร้ประโยชน์ แบ่งแยกประเทศหนึ่งออกจากอีกประเทศหนึ่ง สำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือ ทำลายสังคมของแต่ละประเทศให้กลายเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ

10 ปีที่ผ่านมา ศาสนาอิสลามตกเป็นทั้งเหยื่อและเป็นตัวประกันของอุดมการณ์รุนแรง สุดโต่ง และไร้เหตุผล ในเวลาเดียวกันนั้นก็ปลูกฝังความเกลียดชังมุสลิมอย่างมืดบอดให้เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน

แอนเดอร์ส เบห์ริ่ง บรีวิค อาจไม่ลงมืออย่างเลือดเย็นที่อูโทยา หากไม่มี 9/11 หรือไม่ก็อาจไม่มีตัวตนที่รุนแรงของเขาอยู่เลยโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้"ปฏิบัติการอังคารศักดิ์สิทธิ์" ไม่ใช่ชัยชนะของอัลเคด้า และโอซามา บิน ลาเดน

ด้วยการตัดสินใจดังกล่าว อัลเคด้าเชื้อเชิญหายนะมาสู่อัฟกานิสถาน ดินแดนแห่งเดียวที่แนวความคิดของเขาถูกนำมาปฏิบัติใช้ในนามของระบอบทาลิบัน และยิ่งนับวัน อัลเคด้ายิ่งอ่อนแอลง แม้ในความคิดเห็นของกลุ่มก้อนก่อการร้ายที่เคยยอมรับอยู่ใต้อำนาจ

บิน ลาเดน ก็ไม่แตกต่างแต่อย่างใดทั้งสิ้นกับผู้หลงใหลชื่นชมกับความรุนแรง ยิ่งสูงยิ่งมากชนิดไม่เคยพบเห็นได้เท่าใดยิ่งดีขึ้นเท่านั้น โดยไม่เฉลียวใจเลยว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือความรุนแรงยิ่งกว่า

โอซามา บิน ลาเดน อาจเป็นผู้ก่อการร้ายที่ประสบความสำเร็จได้สักครั้ง หรือสองครั้ง แต่ไม่มีวันเป็นนักปฏิวัติสังคมที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อย่างที่เขาเคยวาดฝันไว้แน่นอน

10 ปีต่อไปจากนี้ ความรุนแรงอาจไม่หมดไปจากโลกใบนี้ การก่อการร้ายก็อาจคงอยู่เช่นเดียวกัน

นั่นคือ การฆ่าฟันจะเกิดขึ้นตามมา และเกิดขึ้นต่อไปไม่สิ้นสุด

นั่นคือ คนเรา มนุษย์เรา เพียงใช้สัญชาตญาณดิบเป็นเครื่องนำทาง ไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย!?!