ความเหลื่อมล้ำด้านวัฒนธรรมกับการปฏิรูประบบกระบวนการยุติธรรม
วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 21:00:00 น. มติชน
โดย ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร
(ที่มา คอลัมน์ดุลยภาพ ดุลยพินิจ หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่
21 กันยายน 2554)
เป็นที่ยอมรับกันว่า สังคมไทยกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลง
ในหลายๆ ด้าน เป็นความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเสียจนผู้คนตั้ง
รับไม่ทันในกระบวนการนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มาปะทะกัน
หรือเดินสวนทางกัน ก่อเกิดเป็นความลักลั่นด้านความคิด
โลกทรรศน์ และการปรับตัวปรับใจทั้งจากแง่ของปัจเจก
และของสถาบันต่างๆ เกิดเป็นภาวะไร้ระเบียบ ส่งผลให้เกิด
ความรู้สึกหวาดหวั่น ขาดความมั่นคง จนอาจกลายเป็นความกลัว
ปัจจัยเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ คือพัฒนาการเศรษฐกิจไทย
ในชั่วอายุคนที่ผ่านมา ซึ่งได้ส่งผลที่เป็นรูปธรรม คือรายได้ต่อ
หัวตามราคาจริงเพิ่มขึ้น 3 เท่าในเวลาเพียง 25 ปี
ขณะนี้ไทยได้รับการจัดอันดับเป็นเศรษฐกิจรายได้ปานกลาง
(ระดับบน) ไม่ใช่ประเทศยากจนอีกต่อไป
คนรุ่นปัจจุบันมีฐานะดีกว่าคนรุ่นก่อนหน้า มีทรัพย์สินที่จะปกป้องมากขึ้น มีความคาดหวังกับรัฐบาล
และสถาบันสำคัญต่างๆ ของชาติที่เปลี่ยนไปและมากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงที่เรากำลังเผชิญอยู่ในท้ายที่สุดก็คือ ความเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมในหลายๆ
มิติ ไม่ว่าจะเป็นความตื่นตัวด้านความมีตัวตน (อัตลักษณ์) ความมีศักดิ์ศรี การต้องการการยอมรับนับถือ
ความต้องการความเสมอภาค การไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ความคาดหวังใหม่ๆ เหล่านี้มักประสบกับ
ความผิดหวังเสมอ ความรู้สึกว่าถูกปฏิบัติแบบไม่แฟร์ เป็นต้นเหตุประการสำคัญของความเหลื่อม
ล้ำด้านวัฒนธรรม
ในเรื่องวัฒนธรรมนี้ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ วิเคราะห์ว่า คนเสื้อเหลืองออกมาเดินขบวนก่อนใครเพื่อน
เพราะว่าเขามีปัญหากับความไม่แฟร์ หรือความเหลื่อมล้ำด้านวัฒนธรรม คือคนเสื้อเหลืองรับไม่
ได้ที่นักการเมืองจำนวนมากโกงกินแต่ก็ลอยนวลอยู่ได้ แม้เราจะมีกฎหมายต่อต้านการคอร์รัปชั่น
สำหรับคนเสื้อแดงก็เผชิญกับความเหลื่อมล้ำด้านวัฒนธรรมหลายรูปแบบ
งานวิจัยของ อาจารย์ ดร.อภิชาติ สถิตนิรมัย ที่ธรรมศาสตร์ สอบถามผู้ที่สนับสนุนคนเสื้อแดง
ที่เป็นชาวอีสาน มีคนตอบว่า เข้าร่วมกับคนเสื้อแดงเพราะเจ็บใจที่มีคนพูดในรายการโทรทัศน์ว่า
คนอีสานเป็นได้แค่เด็กปั๊มหรือคนใช้
งานศึกษาเรื่องคนเสื้อแดงโดยนักศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด รายงานผลการวิจัย
โดยสัมภาษณ์คนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯ จำนวนมาก ได้ข้อค้นพบว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ ให้มี
fairness สักหน่อยทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง พวกเขาพูดถึงความสำคัญของการศึกษาเสมอ
ภาคที่ได้มาตรฐานเพื่อปรับปรุงตนเอง และอนาคตของลูกหลาน ที่พวกเขาอาจเข้าไม่ถึง
ดิฉันเคยคุยกับคนขับรถแท็กซี่จากภาคอีสานที่ไม่ได้ไปร่วมการเดินขบวนกับคนเสื้อแดง แต่ก็ชื่นชอบ
โดยเขาบอกว่า เขาชอบเรื่องที่เรียกร้องให้ยกเลิกการเลือกปฏิบัติ เขาไม่ชอบที่ได้รับการปฏิบัติไม่ดี
เมื่อไปติดต่อกับราชการ คือ เขารู้สึกว่าทำกับเขาแบบดูถูกดูแคลน
ศัพท์ที่ใช้ เช่น ไพร่ อำมาตย์ ที่ผู้พูดจงใจเสียดสีแดกดันคนหัวเก่า ทั้งที่ปัจจุบันไม่มีไพร่ ไม่
มีอำมาตย์แล้ว ส่งสัญญาณบอกว่าทนไม่ได้กับระเบียบสังคมที่มีพื้นฐานจากสังคมมีช่วงชั้น
โดยต้องการสังคมเสมอภาค การใช้ศัพท์ดังกล่าวยังมีนัยยะต้องการ fairness ในกระบวน
การยุติธรรมด้วย
สิ่งที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าได้เกิด ′รอยเลื่อนทางวัฒนธรรม′ หรือ cultural shift ขึ้นแล้ว
และเป็น cultural shift ที่ต้องให้ความใส่ใจ มิฉะนั้นอาจจะปะทุเป็นสึนามิได้โดยไม่คาดฝัน
เราจึงจะต้องตอบคำถามว่าควรทำอย่างไรต่อไป เพื่อให้สังคมไทยสามารถก้าว
ข้ามจุดอ่อนนี้ไปได้
ดิฉันไม่ได้พูดถึงความเสมอภาคในทุกๆ เรื่อง เป็นไปไม่ได้ว่าทุกคนจะเสมอเหมือนกันหมด
ทุกด้าน ทั้งเรื่องรายได้ ความสามารถ พรสวรรค์ ความต่างยังมีอยู่ แต่ต้องมี fairness
ดิฉันกำลังพูดถึง fairness ในมิติด้านความเท่าเทียมกันในมุมมองของกฎหมาย หรือ fairness
ในระบบกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรวมทั้ง ตำรวจ อัยการ และศาล
ตัวอย่างเช่น ทำไมคนหิวโซขโมยข้าวสักถังอาจติดคุกหลายปี แต่นักการเมือง ข้าราชการ
ขโมยเงินภาษีของประชาชนเป็นร้อยเป็นพันล้านจากงบประมาณรัฐ จึงลอยนวลอยู่ได้
ไม่ถูกลงโทษ
ทำไมลูกผู้มีอิทธิพลถูกข้อกล่าวหาฆ่าคนตาย โดยมีคนเห็นเหตุการณ์ แต่ท้ายที่สุดหลุดรอด
เงื้อมมือกฎหมายไปได้
ปัญหาการหลีกเลี่ยงกฎหมายได้ เพียงเพราะเป็นคนรวยคนมีอำนาจ มีนัยต่อไปถึง
ความเหลื่อมล้ำหรือความไม่แฟร์ในมิติอื่นๆ อีก
ขณะที่การเมืองไทยพัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตย เราก็หวังว่าสังคมจะมีความเสมอภาค
กันมากขึ้น แต่ในเมื่อไม่มี fairness ในมิติของกฎหมาย การพัฒนากลับนำไปสู่ความเหลื่อม
ล้ำด้านอำนาจ และเศรษฐกิจที่ใครๆ ก็มองเห็นได้ นักการเมือง ข้าราชการ ทหาร พลเรือนระ
ดับบิ๊กๆ โกงกิน ร่ำรวยขึ้น มีอำนาจมากขึ้น
ขณะเดียวกันเกิดการก่อตัวของเครือข่ายการเมืองระหว่างกลุ่มเหล่านี้ ผนวกกับนักลงทุนขนาด
ใหญ่ผูกโยงเข้าด้วยกัน ร้อยรัดเป็นพวกเดียวกันเพราะมีผลประโยชน์ร่วม แล้วก็ช่วยกันปกป้อง
พวกเดียวกันจากเงื้อมมือของกฎหมาย ปิดกั้นพัฒนาการสู่สังคมเสมอภาค อีกทั้งวิ่งเต้นส่งอิทธิ
พลต่อการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดสำคัญที่กำหนดนโยบายสำคัญของประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ
และการเมือง
ในท้ายที่สุด สังคมที่มีช่วงชั้น การดูถูกคนที่ด้อยกว่า การเลือกปฏิบัติ ผู้ทำผิดลอยนวล
อยู่ได้จึงคงอยู่
ดังนั้นข้อเสนอของดิฉัน คือ สังคมต้องลงทุนในการหาทางปฏิรูประบบกระบวนการยุติธรรมให้มี
fairness ไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ
และที่เสนอเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผู้พิพากษาเป็นคนไม่ดี ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ล้วน
เป็นคนดี แต่ระบบไม่ดี เราจึงต้องการการปรับปรุงทั้งระบบกระบวนการยุติธรรม
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องการการลงทุนเป็นระยะยาว เพราะจะเกี่ยวโยงกับทั้งเรื่องการปฏิรูปการฝึก
อบรมนักกฎหมาย ผู้พิพากษา การจัดระบบตำรวจ และกระบวนการตุลาการอื่นๆ อย่างน้อยให้เป็น
การกระจายอำนาจ ให้องค์กรบริหารและผู้คนในท้องถิ่นเข้ามีส่วนร่วม จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญมา
ทำงานด้านนี้โดยตรง ซึ่งแนวทางการปฏิรูปสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศที่มีการ
ปฏิรูปประสบความสำเร็จไปแล้ว
การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด รวมทั้งระบบตำรวจ อัยการ และศาล เป็นเรื่องจำเป็นเพราะ
ว่าจะทำความเจริญให้แก่หมู่คณะ เราจึงต้องรีบคิดและลงทุน
เพื่อให้สังคมไทยพัฒนาสู่ความมั่นคงด้านวัฒนธรรม และการเมืองที่มีเสถียรภาพ อันเป็นสิ่งที่นักธุรกิจ
และประชาชนทุกคนต้องการ
หากเราไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เราอาจตกอยู่ในสภาวะความชุลมุนวุ่นวายไม่สิ้นสุด