คู่มือป้องกันภัยระเบิดปรมาณู (เล่มแรก)
ปฏิกิริยาของรัฐบาลยังคงแสดงความเพิกเฉยต่ออำนาจทำลายล้างของระเบิดปรมาณู เช่นที่ รองศาสตราจารย์ฉลอง สุนทราวาณิชย์ ได้ตรวจสอบรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐-๙๕ พบว่าไม่ได้กล่าวถึงประเด็นด้านมนุษยธรรมอีกเลยนับตั้งแต่การอภิปรายเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ที่มีการพูดถึงประเด็นนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น๑๕
ขณะเดียวกันความร้ายแรงของอาวุธชนิดใหม่นี้กลับเป็นสิ่งที่กองทัพกลับให้ความสนใจศึกษาและค้นคว้าจนสามารถเรียบเรียงเป็นคู่มือสำหรับใช้ในภาคปฏิบัติกรณีหากประเทศไทยต้องประสบหายนะจากระเบิดปรมาณู คือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งสาเหตุของการจัดทำเอกสารดังกล่าวปรากฏในคำชี้แจงของ พลเอก ผ. ชุณหะวัณ (หรือต่อมาคือ จอมพลผิน ชุณหะวัณ) ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น
ลูกระเบิดปรมาณูเป็นอาวุธที่ร้ายแรง มีอำนาจการทำลายสูงในชั่วระยะเวลาอันสั้น ผิดกับลูกระเบิดทำลายธรรมดา สมควรที่ทหารจะได้ทราบอำนาจและวิธีการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณูนี้ไว้ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่เรียบเรียงคำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณูนี้ขึ้นเท่าที่จะสามารถค้นคว้าได้จากหลักฐานต่างๆ ในภาษาต่างประเทศ
บัดนี้ เจ้าหน้าที่ได้ค้นคว้าเรียบเรียงเรื่องนี้ขึ้นแล้ว เห็นว่าเป็นแนวทางให้ผู้บังคับบัญชาและทหารได้ทราบถึงอำนาจของปรมาณู และวิธีบรรเทาภัยพอสมควร ฉะนั้น ให้ผู้มีหน้าที่ใช้เป็นหลักในการสอนและการปฏิบัติ เมื่อประสพภัยชนิดนี้จะได้รู้จักหลบหลีกภัยในทางที่ควร และช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ตามความจำเป็น๑๖
การให้ความสนใจต่อผลร้ายแรงของระเบิดปรมาณูของกองทัพไทยมีส่วนสัมพันธ์กับสถานการณ์ของโลกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นยุคของสงครามเย็น นับแต่ช่วงทศวรรษ ๒๔๙๐ เป็นต้นมา เกิดการแข่งขันระหว่างอุดมการณ์ของโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกา และโลกสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์มีสหภาพโซเวียตเป็นแกนนำ แต่ละฝ่ายต่างมีนโยบายชักจูงและสนับสนุนประเทศภายใต้สังกัดของตนด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงมาตรการด้านกองทัพและการสะสมอาวุธนิวเคลียร์เพื่อใช้เป็นการถ่วงดุลแห่งอำนาจระหว่างกัน๑๗ ความตอนหนึ่งของคู่มือดังกล่าวระบุข้อความอันเกี่ยวเนื่องถึงสถานการณ์การเมืองโลกขณะนั้นว่า
ระเบิดปรมาณู เท่าที่เปิดเผยกันทั่วไปนั้นเป็นอาวุธประเภทลูกระเบิด ทิ้งจากเครื่องบิน เกิดขึ้นใหม่ในตอนปลายมหาสงครามโลกครั้งที่สอง รูปร่างลักษณะตลอดจนวิธีการสร้างยังสงวนเป็นความลับของราชการทหาร ปรากฏในขณะนี้ว่าประเทศที่สร้างระเบิดปรมาณูได้อย่างแน่นอน คือประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศสหภาพโซเวียตรุสเซียนั้น ก็มีข่าวยืนยันกันว่า สร้างลูกระเบิดปรมาณูได้เหมือนกัน เหตุนี้วิธีทำสงครามปรมาณู จึงยังเป็นเรื่องลึกลับ ไม่มีประเทศมหาอำนาจใดๆ ยอมเปิดเผย แต่ก็เป็นสิ่งแน่นอนว่า อาวุธอย่างหนึ่งของสงครามนั้น คือระเบิดปรมาณู๑๘
ข้อความดังกล่าวแสดงถึงการรับรู้และยอมรับว่ารูปแบบการทำสงครามได้เปลี่ยนไปแล้วนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ บุคลากรในกองทัพมีหน้าที่ต้องศึกษาเรียนรู้มหันตภัยของอาวุธชนิดนี้เพื่อจะได้รับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทยได้เช่นกัน เห็นได้จากเนื้อหาในคู่มือเล่มนี้มุ่งเสนอความเข้าใจพื้นฐานของระเบิดปรมาณูในหลากหลายด้าน เริ่มจากวิธีการทำงานของระเบิดเกิดจากการสลายตัวของ แก่นปรมาณู ทำให้เกิดการ แยกธาตุ โดยใช้ยูเรเนียม 235 เป็นธาตุสำคัญ สามารถสร้างความร้อนได้ถึง หลายล้านองศาเซ็นติเกรด๑๙
คู่มือดังกล่าวยังได้ให้ข้อมูลของอำนาจการทำลายล้างจากระเบิดปรมาณูอย่างเป็นขั้นตอน ดังนี้
เมื่อทิ้งลูกระเบิดปรมาณูให้ระเบิดในอากาศนั้นจะปรากฏเห็นเป็นลูกไฟดวงใหญ่สว่างขึ้นมาในท้องฟ้า มีขนาดผ่าศูนย์กลางโตประมาณ ๓๐๐ เมตร์ ตรงใจกลางลูกไฟดวงใหญ่นี้ มีความร้อนหลายล้านองศาเซ็นติเกรด เป็นเหตุให้เกิด อำนาจเผา และ อำนาจแผ่รังษี พุ่งออกไปทั่วทุกทิศ และอำนาจแผ่รังษีนี้ เป็นประกายวูบออกมาชั่วระยะ ๓ วินาฑีแล้วก็หมดไป ขณะที่ประกายฤทธิร้อนวูบขึ้นมานั้น อากาศบริเวณลูกไฟดวงใหญ่ถูกเผาอย่างรุนแรงที่สุด จึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นคลื่นหวั่นไหวกระแทกออกไป กลายเป็นลมร้ายพัดพุ่งออกมาด้วยความเร็วประมาณ ๑๓๐๐ กม. ต่อชั่วโมง ต่อมาสักครู่หนึ่งจะเกิดมีลมพายุมวนเข้าหาศูนย์กลางระเบิดด้วยความเร็วประมาณ ๖๕๐ กม. ต่อชั่วโมง ความแรงของลมร้ายและลมพายุสองประการนี้แหละ คือ อำนาจพัดพังทลาย ของลูกระเบิดปรมาณู๒๐
นอกจากนี้ อำนาจการทำลายล้างยังรวมถึง พิษรังสี ที่กระจายออกไปหลังการระเบิดทำให้เกิดเป็น ฝุ่นพิษรังสี หรือ ละอองฝนพิษรังสี ก่อให้เกิด โรครังสี จนถึงแก่ชีวิตได้ในภายหลัง และเนื่องจากการทำสงครามด้วยระเบิดปรมาณูเป็นการใช้อาวุธรูปแบบใหม่ ดังนั้นคู่มือเล่มนี้จึงระบุวิธีป้องกันอำนาจปรมาณู โดยเฉพาะการเสนอให้จัดตั้ง เจ้าหน้าที่ป้องกันและรักษาโรครังสี ซึ่งเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับยุคนั้น (รวมไปถึงยุคนี้ด้วยสำหรับประเทศไทย) ในการป้องกันพิษรังสีจะต้องมีเครื่องตรวจรังสี เครื่องแต่งกายป้องกันพิษรังสี และเครื่องดับพิษรังสี ซึ่งอย่างหลังนี้ไม่มีข้อมูลเพราะ ประเทศที่คิดค้นยังถือเป็นความลับในราชการทหาร๒๑
ไม่เพียงเท่านั้น คู่มือดังกล่าวได้เสนอวิธีบรรเทาภัยระเบิดปรมาณูไว้เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อรักษาชีวิตของตนเองและผู้อื่นให้อยู่รอด แต่ต้องพ้นรัศมี ๑,๒๐๐ เมตรไปแล้วจะมีโอกาสรอดถึงร้อยละ ๕๐ เพราะ ถ้าหากบังเอิญอยู่ตรงกับบริเวณเกิดการระเบิดแท้ๆ ก็เหลือที่จะมีอะไรมาป้องกันชีวิตไว้ได้๒๒ อีกทั้งระเบิดชนิดนี้เป็นเรื่องใหม่นอกเหนือทักษะของเหล่าทหารที่เคยปฏิบัติมาก่อน ดังนั้นจึงมีการย้ำเป็นพิเศษ ดังนี้
การหลบภัยจะต้องทำอย่างรวดเร็วที่สุด ผิดกับการโจมตีด้วยลูกระเบิดธรรมดา ซึ่งมีการทิ้งระเบิดอยู่หลายๆ นาฑี ทำให้มีโอกาสเหลือสำหรับหลบเข้าที่กำบัง ในระหว่างเสียงระเบิดครั้งแรกกับครั้งสุดท้ายนั้นได้ แต่การโจมตีด้วยลูกระเบิดปรมาณู ไม่มีโอกาสอย่างนั้นเลย ที่หลบภัย, หลุมหลบภัย, ห้องใต้ดิน, ท่อระบายน้ำริมถนน, คู, คลอง ฯลฯ เหล่านี้อาศัยหลบอันตรายอย่างนี้ได้๒๓
สาระสำคัญของการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณูจึงเน้นที่การรักษาชีวิตของตนเองเป็นเบื้องต้นด้วยการเข้าที่กำบังซึ่งมีความแข็งแรงและอยู่ในที่ต่ำ เช่น ริมกำแพง และคูคลอง พร้อมทั้งอยู่ในท่าที่เหมาะสมคือ หมอบราบลงกับพื้น หลังจากการระเบิดแล้วจึงค่อยช่วยเหลือผู้ประสบภัยรายอื่นต่อไป แต่จะต้องหมั่นรักษาความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อป้องกันฝุ่นผงที่ปนเปื้อนพิษรังสี และต้องไม่กินหรือดื่มตลอดจนสัมผัสกับสิ่งใดๆ ในบริเวณที่มีพิษรังสีอยู่ด้วย รวมไปถึงการควบคุมอย่าให้มีการเผยแพร่ ข่าวอกุศล เพราะจะสร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คนจำนวนมาก๒๔
สิ่งที่ตามมาหลังจากการระเบิดคือ โรครังสี นับเป็นภัยที่แฝงเร้นมากับอานุภาพของระเบิดปรมาณู ซึ่งคู่มือดังกล่าวระบุอาการของผู้ป่วยจะเกิดแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่แต่ละคนได้รับ กรณีที่รับไปมากจะแสดงอาการสั่นสะท้านพร้อมกับคลื่นเหียนภายใน ๒-๓ ชั่วโมง แล้วหายไป ต่อจากนั้นอีก ๑-๒ วัน อาการก็จะกลับเป็นเช่นเดิม และมีอาการอาเจียน ท้องร่วง มีไข้ และอาการจะหายไปอีก ๒-๓ วัน อาการเช่นนี้จะกำเริบจนถึงแก่ความตาย หากไม่ได้รับรังสีมากก็จะมีอาการโลหิตไหลตามปากและเหงือก ภายใน ๒-๓ สัปดาห์ มีโลหิตออกภายในร่างกายร่วมด้วย โลหิตจะไหลไม่หยุดแม้เป็นบาดแผลเล็กน้อย รวมไปถึงมีอาการผมร่วงและเบื่ออาหาร อาการเหล่านี้อาจหายไปและกลับมาเป็นใหม่ได้อีก นอกจากนี้ในคู่มือดังกล่าวได้แนะนำการปฐมพยาบาลตนเองด้วยการรักษาร่างกายให้อบอุ่นเสมอ พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำอุ่นๆ พร้อมกับกินอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลในปริมาณมากขึ้น รวมไปถึงให้หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำและกินอาหาร ตลอดจนอาศัยในแหล่งที่มีพิษรังสี๒๕
ไม่เพียงเท่านั้น คู่มือเล่มนี้ได้ให้คำแนะนำเรื่องการปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทันทีหลังการระเบิด ได้แก่ ผู้ป่วยจากแผลพิษร้อน โดยเน้นให้รักษาความสะอาดของบาดแผล กรณีที่มีเสื้อผ้าของผู้ป่วยติดอยู่ให้ตัดผ้านั้นออก หากเป็นแผลพุพองอย่าเจาะให้ทะลุ และให้ใช้ผ้าชุบวาสลินหรือขี้ผึ้งปิดแผลกรณีที่ผู้ป่วยเจ็บแผลมาก การพันแผลก็ไม่ควรพันให้แน่นเกินไป พร้อมทั้งให้ผู้ป่วยได้รับความอบอุ่นอยู่เสมอ สำหรับผู้ป่วยตกเลือดหรือเสียโลหิต ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบาดแผลโดยตรง ควรใช้ผ้ารัดบาดแผลให้แน่นและให้คลายผ้าออกเป็นครั้งคราว ส่วนกรณีที่ผู้ป่วยกระดูกหัก อย่าพยายามดึงกระดูกให้เข้าที่ และควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยความระวังโดยให้มีเครื่องรองรับผู้ป่วยก่อนทุกครั้ง๒๖
ประเด็นสุดท้ายของคู่มือเล่มนี้เป็นเรื่องของการดับเพลิง เพราะเมื่อเกิดการระเบิดขึ้นมาเชื้อเพลิงที่อยู่บริเวณใกล้รัศมีจะติดไฟทันทีและอาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง บรรดาทหารที่ปฏิบัติหน้าที่จำเป็นต้องทราบวิธีการดับเพลิงที่ถูกต้อง ได้แก่ การปิดประตูอาคารให้มิดชิดเพื่อป้องกันลมเข้ามาทำให้ไฟลุกไหม้อีก หากจะพังประตูเข้าไปให้เลือกบริเวณใกล้กับกลอนประตู เมื่ออยู่ในที่มีควันหนาๆ ให้คลานเข้าไป อย่าเดิน และควรเลือกอยู่ชิดกำแพงหรือส่วนที่แข็งแรงของอาคาร การดับเพลิงให้เข้าใกล้ต้นเพลิงมากที่สุด และถ้าจะหาต้นเพลิงให้เริ่มจากชั้นบนลงมา กรณีที่ต้นเพลิงเป็นน้ำมันให้ใช้ทรายดับ รวมทั้งให้เตรียมถังน้ำ ถังทราย และอุปกรณ์ดับเพลิงไว้ในอาคารให้มาก๒๗
นอกเหนือจากคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ดังกล่าวแล้ว คู่มือเล่มนี้ยังมีภาพประกอบเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความร้ายแรงของระเบิดปรมาณูมากขึ้น เช่น รัศมีการทำลายล้าง รวมไปถึงวิธีการหลบภัยกรณีที่เกิดระเบิดขึ้นมา อย่างไรก็ดี การแพร่หลายของคู่มือดังกล่าวมีอยู่เฉพาะในแวดวงบุคลากรของกองทัพ ประกอบกับจำนวนพิมพ์ที่น้อยมาก มีส่วนทำให้การรับรู้ของบุคคลทั่วไปถึงวิธีการรับมือกับมหันตภัยชนิดนี้อยู่ในขอบเขตจำกัด
บทบาทของอาวุธนิวเคลียร์ที่ใช้ในการทำสงครามยุคปัจจุบันอาจลดความสำคัญลงไปเมื่อเทียบกับยุคสงครามเย็น แม้จะมีบางประเทศพยายามพัฒนาการผลิตอาวุธชนิดนี้ แต่ก็มีกระบวนการตรวจสอบทั้งจากประเทศมหาอำนาจและองค์กรระหว่างประเทศคอยควบคุม แต่สิ่งที่สมควรระวังคือการใช้พลังงานปรมาณูในแง่อื่นโดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากและเคยเกิดมหันตภัยครั้งร้ายแรงมาแล้วในอดีตรวมถึงที่กำลังแก้ปัญหาอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับประเทศไทย ภาครัฐมีความพยายามที่จะใช้พลังงานชนิดนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ จากแผนการสร้างโรงไฟฟ้าที่อ่าวไผ่ จังหวัดชลบุรี จนมาถึง แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๖๔ ซึ่งออกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐๒๘ พลังงานปรมาณูอาจเป็นทางเลือกสุดท้ายท่ามกลางวิกฤติการณ์ด้านพลังงานจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการขาดแคลนพืชที่ใช้ผลิตพลังงาน เมื่อถึงวันที่ประเทศไทยต้องใช้พลังงานชนิดนี้เราอาจต้องศึกษาคู่มือดังกล่าวกันอย่างจริงจังก็เป็นได้
เชิงอรรถ
๑ จอห์น เทอร์เนอร์ เขียน, ประยูร เชี่ยววัฒนา และ ระพินทร์ เอี่ยมลาภะ แปล. การแข่งขันอาวุธ หนทางสู่สงครามและความอดอยาก. (กรุงเทพฯ : โครงการปีสันติภาพ ๒๕๒๘, ๒๕๒๘), น. ๒๘.
๒ มิจิฮิโกะ ฮาจิยา เขียน, สมอาจ วงษ์ขมทอง แปลและเรียบเรียง. บันทึกฮิโรชิมา. (กรุงเทพฯ : วินันฑา, ๒๕๒๗), น. ๑๘๕.
๓ ไชยวัฒน์ ค้ำชู. นโยบายต่างประเทศญี่ปุ่น : ความเปลี่ยนแปลงและความต่อเนื่อง. (กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๙), น. ๒๕.
๔ เพ็ญศรี กาญจโนมัย. ญี่ปุ่นสมัยใหม่. (กรุงเทพฯ : เนติกุลการพิมพ์, ๒๕๓๘), น. ๒๖๙-๒๗๐.
๕ ไชยวัฒน์ ค้ำชู. นโยบายต่างประเทศญี่ปุ่น : ความเปลี่ยนแปลงและความต่อเนื่อง. น. ๑๕๘.
๖ เพ็ญศรี กาญจโนมัย. ญี่ปุ่นสมัยใหม่. น. ๒๗๕.
๗ ฉลอง สุนทราวาณิชย์. การบรรยายและเอกสารประกอบการบรรยายเรื่อง คนไทยกับระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา ๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ เรียบเรียงโดย อานุภาพ สกุลงาม นักวิชาการ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ,
๘ เรื่องเดียวกัน.
๙ มิจิฮิโกะ ฮาจิยา เขียน, สมอาจ วงษ์ขมทอง แปลและเรียบเรียง. บันทึกฮิโรชิมา. น. ๓๗.
๑๐ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๘๗-๑๘๘.
๑๑ ทาคาชิ นากาอิ เขียน, ฉัตรนคร องคสิงห์ แปล. นางาซากิ เสียงครวญแห่งสันติ. (กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๑), น. ๑๗๑-๑๗๓. ๑๒ มิจิฮิโกะ ฮาจิยา เขียน, สมอาจ วงษ์ขมทอง แปลและเรียบเรียง. บันทึกฮิโรชิมา. น. ๑๑๒, ๑๑๘-๑๒๑, ๑๔๖-๑๔๙.
๑๓ ฉลอง สุนทราวาณิชย์. การบรรยายและเอกสารประกอบการบรรยายเรื่อง คนไทยกับระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา ๖ สิงหาคม ๒๔๘๘. น. ๔. ๑๔ เรื่องเดียวกัน. ๑๕ เรื่องเดียวกัน.
๑๖ กองทัพบก. คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู. (พระนคร : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหารบก, ๒๔๙๔), น. คำชี้แจง.
๑๗ อารยธรรม. เอกสารคำสอนรายวิชา ๒๒๐๔๑๘๐ อารยธรรม ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (กรุงเทพฯ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐), น. ๓๑๓-๓๑๖.
๑๘ กองทัพบก. คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู. น. ๑.
๑๙ เรื่องเดียวกัน, น. ๓-๔.
๒๐ เรื่องเดียวกัน, น. ๖-๗.
๒๑ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๔-๑๕.
๒๒ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๗.
๒๓ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๘.
๒๔ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๗-๒๙.
๒๕ เรื่องเดียวกัน, น. ๓๐-๓๒.
๒๖ เรื่องเดียวกัน, น. ๓๓-๓๖.
๒๗ เรื่องเดียวกัน, น. ๓๗-๓๙.
๒๘ สุเจน กรรพฤทธิ์. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ บนแผ่นดินไทย ทางรอดสุดท้ายของวิกฤติพลังงาน?, ใน สารคดี. ปีที่ ๒๓ ฉบับที่ ๒๗๕ (มกราคม ๒๕๕๑), น. ๑๒๒-๑๒๓. ใต้ภาพ
๑ เมฆรูปเห็ดสูงหลายสิบกิโลเมตรอันเกิดจากอาวุธนิวเคลียร์ที่สหรัฐอเมริกาทิ้งถล่มเมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ในช่วงใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒
๒ เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ที่ถูกทำลายล้าง เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ คือเมืองแรกที่สหรัฐอเมริกาเลือกใช้เป็นสถานที่ทดลองอาวุธชนิดใหม่ ระเบิดปรมาณูที่ชื่อ ลิตเติ้ล บอย
๓ ผู้รอดชีวิตชาวเมืองฮิโรชิมาที่ต้องทุกข์ทรมานบาดเจ็บสาหัสจากรังสีความร้อนและกัมมันตภาพรังสี
๔ หนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ รายงานความเสียหายของเมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ
๕ หนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ฉบับวันศุกร์ที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ รายงานถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อทำสงครามในอนาคต
๖ ปกหนังสือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู พ.ศ. ๒๔๙๔
๗ เมื่อลูกระเบิดปรมาณูระเบิดในอากาศเหนือสัญลักษณ์ประชาธิปไตยของไทยท่ามกลางยุคสงครามเย็น (ภาพจากหนังสือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู พ.ศ. ๒๔๙๔)
๘ ภาพแสดงระยะอันตรายจากอำนาจเผาและอำนาจแผ่รังสีของลูกระเบิดปรมาณู อำนาจแผ่รังสีแสดงเป็นเส้นตรง (ก) มีระยะฆ่าคนไกลเพียง ๘๐๐ เมตร (ข) สุดระยะมีอันตรายเพียง ๒ กิโลเมตร อำนาจเผาแสดงเป็นเส้นคดๆ (ค) มีระยะทำแผลพิษร้อนไกลประมาณ ๓ กิโลเมตร (ง) สุดระยะทำแผลพิษร้อนประมาณ ๔ กิโลเมตร (ภาพจากหนังสือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู พ.ศ. ๒๔๙๔)
๙ ภาพแสดงระยะอันตรายอันเกิดจากอำนาจพัดพังทลายของลูกระเบิดปรมาณู ย่านเสียหายย่อยยับ เป็นปริมณฑลระยะ ๑,๖๐๐ เมตร ย่านเสียหายอย่างหนัก เป็นปริมณฑลระยะระหว่าง ๑,๖๐๐-๓,๐๐๐ เมตร ย่านเสียหายพอประมาณ เป็นปริมณฑลระยะระหว่าง ๓-๔ กิโลเมตร (ภาพจากหนังสือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู พ.ศ. ๒๔๙๔)
๑๐ ภาพ แสดงวิธีหลบภัยอยู่ใต้ต้นไม้ หันหน้าหนีแรงพัดพังทลาย แล้วให้คลุมร่างกายทุกส่วนให้มิด (ภาพจากหนังสือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู พ.ศ. ๒๔๙๔)
๑๑ ภาพ แสดงวิธีหลบภัยอยู่ข้างกำแพง หมอบราบชิดกำแพง จะได้พ้นสิ่งปรักหักพังปลิวมากระทบ คลุมร่างกายทุกส่วนให้มิด (ภาพจากหนังสือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู พ.ศ. ๒๔๙๔)
๑๒ ภาพ แสดงวิธีหลบภัยอยู่ใต้โต๊ะ เพื่อกันเพดานร่วงหล่นทับลงมา เอาผ้าคลุมร่างกายเสียสำหรับกันกระเบื้องแก้วปลิวมากระทบ (ภาพจากหนังสือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู พ.ศ. ๒๔๙๔)
๑๓ ภาพ แสดงวิธีหลบภัยอยู่ตามคูหรือคลอง ให้หลบลงไปในคูหรือคลองเพื่อกันประกายเพลิง (ภาพจากหนังสือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู พ.ศ. ๒๔๙๔)
๑๔ ภาพ แสดงวิธีหลบภัยใต้โต๊ะเขียนหนังสือ ให้มุดเข้าใต้โต๊ะเขียนหนังสือ ซึ่งไม่ตรงแนวหน้าต่างเพื่อหลบประกายพิษร้อน และสิ่งร่วงหล่นต่างๆ (ภาพจากหนังสือ คำแนะนำการบรรเทาภัยระเบิดปรมาณู พ.ศ. ๒๔๙๔)