สโรทร - วีระชัย
ถ้าขอพรได้ดังใจหวัง หลายคนคงขอให้ตัวเองอายุยืนอย่างมีความสุข แต่ปัญหามีอยู่ว่า การอายุยืน กับสิ่งที่เรียกว่าความสุขตามอัตภาพ โดยมากมักไม่ค่อยไปด้วยกัน
จึงมีผู้แสวงหาหนทางทำอย่างไร หรือต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อมใด จึงจะทำให้ผู้สูงอายุชาวไทยซึ่งมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป สามารถใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างมีความสุขกับช่วงเวลาที่เหลือ
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ร่วมกับคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ จนได้คำตอบ แต่ก็ยังไม่วายขมวดหมายเหตุไว้ เป็นเพียงแนวทางที่จะนำไปสู่การวางกรอบนโยบายเพื่อใช้จัดสวัสดิการที่เหมาะสมให้ผู้สูงอายุไทยในอนาคตเท่านั้น
ในรายงานวิจัย ระบุว่า ปี 2552 ทั่วเมืองไทยมีประชากรสูงวัย (อายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป) ประมาณ 7,176,819 คน หรือราว 11.54% ของประชากรทั้งประเทศ
แบ่งเป็นผู้สูงอายุวัยต้น อายุระหว่าง 60-69 ปี ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่สุดจำนวน 3,928,736 คน หรือประมาณ 6.32% ของประชากรทั้งประเทศ ผู้สูงอายุวัยกลาง ระหว่าง 70-79 ปี จำนวน 2,347,376 คน หรือประมาณ 3.77% และผู้สูงอายุวัยปลาย มีอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป อีก 900,707 คน หรือประมาณ 1.45%
ที่น่าสนใจกว่านั้น ในจำนวนผู้สูงอายุ 7 ล้านคนเศษทั่วประเทศ เมื่อปี 2552 มีผู้ที่อายุยืนเกินกว่า 1 ศตวรรษหรือ 100 ปีขึ้นไปมากถึง 13,692 คน เป็นชาย 5,541 คน หญิง 8,151 คน
คนเหล่านั้น กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั้งในเมืองและชนบท 3 จังหวัดแรก ที่พบมากที่สุด คือ นครศรีธรรมราช 591 คน ยะลา 563 คน และ สมุทรปราการ 558 คน
3 จังหวัด ที่พบน้อยสุด คือ พังงา 20 คน ตราด 15 คน และ ภูเก็ต 11 คน
เป็นที่น่าสังเกตผู้มีอายุเกินร้อยเหล่านี้ หลายคนสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับครอบครัว และชุมชนได้อย่างมีความสุขในหลายมิติ ทั้งด้าน สุขภาพ อารมณ์ หรือ จิตใจ
เทียบกับผู้สูงอายุทั่วไปส่วนใหญ่ ซึ่งมีอายุไม่ถึง 100 ปีก็ลาโลก ในแง่สุขภาพ มักจะมีสภาพเสื่อมถอยของสังขารในรูปต่างๆเสมอ
เช่น 1 ใน 5 ของผู้สูงอายุทั่วไป มักเป็น ต้อกระจก 1 ใน 3 มีอาการ หูตึง (ผู้สูงอายุชายมักหูตึงมากกว่าหญิง) และเกินกว่าครึ่งของผู้สูงอายุทั่วไป มีฟันที่ยังสามารถใช้งานได้ไม่ถึง 20 ซี่ หรือ ต้องใช้ฟันปลอม
ในแง่การช่วยเหลือตนเอง หรือความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น สามารถกินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน และเคลื่อนย้ายร่างกายไปไหนมาไหนได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น
จากการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุวัยปลายหรือมีอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป สามารถช่วยเหลือตนเองได้น้อยกว่าผู้สูงอายุวัยกลางถึง 5 เท่า และช่วยเหลือตัวเองได้น้อยกว่าผู้สูงอายุวัยต้นถึง 10 เท่า
การบริโภคอาหาร ผู้สูงอายุร้อยละ 88 ยังคงทานอาหารครบวันละ 3 มื้อ ที่เหลือรับประทานเพียงวันละ 2 มื้อ อาหารที่รับประทานโดยมากเป็นอาหาร รสจืด เผ็ด และ เค็ม เป็นหลัก
ผู้สูงอายุวัยต้นจนถึงวัยปลายทั่วประเทศจำนวนกว่า 7 ล้านคนยังคงเลือกดำรงตนเป็นสิงห์อมควัน หรือสูบบุหรี่อยู่ถึงร้อยละ 20 โดยที่ร้อยละ 17 สูบเป็นประจำ
นอกจากนั้น เมื่อมีอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุชาวไทยส่วนใหญ่ แทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวกิจกรรมทางกาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุเพศหญิง
ในแง่อารมณ์หรือจิตใจ การที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีอายุยืนยาว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นผู้มีอารมณ์หรือจิตใจดีเป็นทุนเดิม วิธีตรวจสอบง่ายๆว่าผู้สูงอายุคนนั้นเป็นคนอารมณ์และจิตใจดีหรือไม่ ให้สังเกตว่าหากเป็นผู้ที่ลูกหลานชอบเข้าหา ถือว่าโอเค
ในแง่ความสุข คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ใช้ตัวชี้วัดทางด้านสังคม 8 อย่าง เป็นเครื่องมือประเมินผลความอยู่ดีกินดีแบบมวลรวมของประเทศ
แต่ สโรทร ม่วงเกลี้ยง กับ วีระชัย วีระฉันทาชาติ สองนักวิจัยซึ่งให้ข้อมูลระบุว่า นิยามความสุขของผู้สูงอายุในแบบฉบับที่มีความเป็นสากล ควรประกอบด้วยปัจจัย 6 อย่าง ดังนี้
1. ได้รับการดูแลจากครอบครัวหรือเครือญาติในด้านปัจจัยสี่เป็นปกติเช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว
2. มีพื้นที่ส่วนตัวของตนเองซึ่งตนเองคุ้นเคย สามารถใช้ประโยชน์ด้านต่างๆได้ตามที่ตนต้องการ และพึงพอใจ เป็นต้นว่า มีเตียงนอนเล่นอยู่ที่ชานบ้าน หรือมีเตียงนอนในจุดที่พึงพอใจ
3. สามารถเข้าถึงศาสนธรรมและศาสนสถานได้ ทั้งโดยการมองเห็น ทำบุญ สวดมนต์ ทั้งสามารถเดินทางไปได้เอง หรือมีผู้พาไป
4. มีลูกหลาน เครือญาติ หรือเพื่อนบ้าน มาทักทายหรือคุยด้วยเป็นกิจวัตร หรือตามแต่วาระโอกาส
5. สามารถทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง หรือมีผู้ช่วยเหลือในระดับหนึ่ง
6. อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น มีความรักสามัคคี และมีความสามารถในการดำรงชีวิตครอบครัว
ใครอยากให้บุพการีสูงอายุของตน มีความสุขตามมาตรฐานสากลนิยม ควรรีบไปดำเนินการจัดหนักให้เป็นไปตามนี้
แต่ในสภาพความเป็นจริง ขวากหนามเบ้อเริ่ม ซึ่งผู้สูงอายุในเมืองไทยส่วนใหญ่มักประสบ ก็คือ ปัญหาความยากจน โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่ของประเทศมักเป็นบุคคลที่ยากจน หรือไม่ก็มักประสบปัญหาบุคคลในครอบครัวที่จะให้การเกื้อหนุนดูแลผู้สูงอายุ ไม่มีศักยภาพเพียงพอ เพราะการที่ครอบครัวยุคนี้ นิยมการมีบุตรน้อยคน แถมบุตรบางคนก็ไม่สามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ หรือตัวเองยังเอาไม่รอด
2 นักวิจัยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกคนเดียวต่อไปในภายภาคหน้า อาจมีแนวโน้มต้องรับภาระดูแลผู้สูงอายุซึ่งเป็นบุพการีของตนพร้อมๆกันรวดเดียว 5-6 ราย คือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หนำซ้ำยังอาจต้องไปแบกรับภาระดูแลพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของทางฝ่ายคู่สมรสอีกด้วย
จึงพอร่างเค้าโครงภาพสังคมผู้สูงอายุไทยในอนาคตได้ว่า หลายครอบครัวที่ผู้สูงอายุอยู่ด้วย จะมีขนาดเล็กลง แต่ลูกหลานต้องแบกรับภาระหนักกว่าในอดีต เพราะผู้สูงอายุมีแนวโน้มอายุยืนขึ้น แต่อายุยืนแบบอมโรค จึงต้องพึ่งพาหรือได้รับการดูแลจากลูกหลานระยะยาว
ในเมื่อโจทย์ใหม่ของสังคมไทย มีแนวโน้มเป็นเช่นนั้นสูง ทางคณะผู้วิจัยจึงได้ประเมินความจำเป็นของผู้สูงวัยในอนาคต เพื่อเสนอแนะให้ภาครัฐจัดสวัสดิการทางสังคมรองรับให้ตรงกับสภาพปัญหา ความต้องการ และความจำเป็น เพื่อให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพ
โดยเห็นว่าควรใช้รูปแบบผสมผสานระหว่างครอบครัว ชุมชน และสถาบันในแต่ละชุมชน ร่วมกันดูแลผู้สูงอายุในทุกชุมชน แบ่งออกเป็นหน่วยงานสนับสนุน หน่วยงานระดับจัดการ และหน่วยงานระดับปฏิบัติการ
ยกตัวอย่าง หน่วยงานระดับสนับสนุน ควรให้ทุกจังหวัดจัดตั้งคณะอนุกรรมการผู้สูงอายุจังหวัด มีชมรมผู้สูงอายุ หรือบ้านกึ่งวิถี และจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนาการบริการผู้สูงอายุ
ระดับจัดการ จัดตั้งโรงเรียนผลิตคนดูแลผู้สูงอายุ (พี่เลี้ยงหรือเนิร์สเซอรี่) มีกองทุนสุขภาพตำบล กองทุนสวัสดิการชุมชน มีหน่วยบริการผู้สูงอายุ โดยใช้งบประมาณจากองค์กรปกครองท้องถิ่น หรือให้สถาบันทางสังคมในชุมชนนั้นๆรับไปเป็นผู้ดำเนินการ
ส่วนระดับปฏิบัติการ ควรให้มีอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ ในอัตราส่วน 1 คนต่อผู้สูงอายุ 20 คน หรือให้มีอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุระดับผู้เชี่ยวชาญ 1 คนต่อผู้สูงอายุ 10 คน โดยดึงเครือญาติ ลูกหลาน และเพื่อนบ้านของผู้สูงอายุในชุมชนนั้นเข้าร่วมดูแลแบบสามประสาน เป็นต้น
ปัญหาเรื่องผู้สูงวัยในสังคมไทยวันนี้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ใกล้ตัวระดับจ่อคอหอย หากไม่ช่วยกันวางแผนรับมือให้ดี วันข้างหน้าจะมีปัญหาให้สางกันไม่จบ.