ReadyPlanet.com
dot dot
dot

dot
ตราครุฑ




จิตตกเสี่ยง ''มะเร็งต่อมน้ำเหลือง'' ปรับอารมณ์-ตรวจร่างกายป้องกันได้

จิตตกเสี่ยง ''มะเร็งต่อมน้ำเหลือง'' ปรับอารมณ์-ตรวจร่างกายป้องกันได้

สถานการณ์ความเครียดในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากการทำงาน การประสบอุทกภัย ล้วนแล้วแต่มีผลเสียต่อร่างกายทั้งสิ้น เพราะความเครียดเป็นปัจจัยที่ทำให้กลไกทางภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง เซลล์ที่ผิดปกติในร่างกายจะเพิ่มมากขึ้น ยิ่งเรา จิตตกและเครียด มากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นและสุดท้ายก็กลายเป็นมะเร็งในที่สุด โดยเฉพาะ “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” ที่พบกันบ่อย ๆ
   
ศ.นพ.สุรพล อิสรไกรศีล ผู้อำนวยการอาวุโสศูนย์โลหิตวิทยากรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ ให้ความรู้ว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในต่อมน้ำเหลืองและเนื้อเยื่อลิมฟอยด์ต่าง ๆ พบบ่อยในผู้ชายไทย จากข้อมูลของโรงพยาบาลศิริราชชี้ให้เห็นว่ามีคนไข้ใหม่โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ประมาณ 200-300 รายต่อปี ซึ่งประมาณการว่าทั้งประเทศไทยใน 1 ปีน่าจะมีคนไข้ประมาณ 1,000-1,500 ราย ถือเป็นจำนวนที่มากพอสมควร โดย สาเหตุของโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่แพทย์สันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น Epstein-Barr virus ที่ได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
   
โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีกำเนิดจากเซลล์ในต่อมน้ำเหลืองแบ่งได้ 2 ชนิด ตามลักษณะของชิ้นเนื้อ ได้แก่ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Non-Hodgkin Lymphoma (NHL) และชนิด Hodgkin Disease (HD) ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้มีอาการคล้ายกัน คือมี ต่อมน้ำเหลืองโตเป็นหลัก แต่ NHL อาจมีก้อนโตที่อวัยวะอื่น ๆ และพบได้บ่อยกว่า เช่น ที่ลำไส้ ปอด สมอง ซึ่งมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดรุนแรงที่มีอาการปรากฏชัด ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตเร็วร่วมกับมีอาการอื่น เช่น มีไข้ น้ำหนักลด และมีเหงื่อออกตอนกลางคืน ในขณะที่มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดค่อยเป็นค่อยไป อาการของต่อมน้ำเหลืองจะโตขึ้นอย่างช้า ๆ และอาจไม่มีอาการอื่นเลย สำหรับ ในประเทศไทยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่พบส่วนใหญ่จะเป็นชนิด NHL ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นชนิดย่อย ๆ อีกหลายชนิด แต่ละชนิดจะใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันบ้าง จึงมีความจำเป็นต้องตรวจชิ้นเนื้อและตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียดเพื่อให้ทราบถึงชนิดที่แท้จริงของมะเร็งและนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม
   
อาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คืออาการที่เกิดจากต่อมน้ำเหลืองโตสามารถมองเห็นและคลำได้ชัดเจน ตำแหน่งที่พบได้แก่ คอ รักแร้ และขาหนีบ ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น ช่องทรวงอก ช่องท้อง ความรุนแรงของโรคมีความแตกต่างกันโดยต่อมน้ำเหลืองที่เป็นมะเร็งจะโตเร็วมาก อาจแตกเป็นแผลและมีเลือดออกได้ หากไม่ได้รับการรักษาแต่ต้นมะเร็งอาจแพร่กระจายไปสู่ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย มีผลทำให้การทำงานของร่างกายล้มเหลวและเสียชีวิต ซึ่งการที่ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดโตขึ้นบริเวณช่องทรวงอกอาจไปกดหลอดเลือดดำใหญ่ ทำให้ทรวงอกช่วงบน คอ และหน้าบวม ขณะที่ต่อมน้ำเหลืองที่พบบริเวณขาหนีบ อาจทำให้ขาบวมได้เช่นกัน
   
การวินิจฉัยโรคที่แน่นอนต้องอาศัยพยาธิสภาพของชิ้นเนื้อ การแบ่งระยะของโรคทำได้โดยดูว่ามีต่อมน้ำเหลืองโตที่ใดบ้าง ซึ่งการแบ่งระยะของโรคจะช่วยในการติดตามการรักษา โดยแบ่งความรุนแรงของโรคออกเป็นระยะ เช่น ระยะที่ 1 พบความผิดปกติที่ต่อมน้ำเหลืองแห่งเดียว ระยะที่ 2 พบความผิดปกติของต่อมน้ำเหลืองเกิน 1 ตำแหน่ง ระยะที่  3 ความผิดปกติเริ่มแพร่ไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และระยะสุดท้ายคือมะเร็งได้ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ หลายตำแหน่ง
   
นอกจากนี้การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะเริ่มจากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย จากนั้นอาจจะต้องตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่น ๆ ได้แก่ การตัดชิ้นเนื้อต่อมน้ำเหลืองเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy) การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์(CT scan) ในช่องท้องและทรวงอก การตรวจกระดูก (Bone scan) และการตรวจ PET scan โดยผลการตรวจทั้งหมดจะนำมาประเมินระยะของโรค เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาต่อไป ซึ่งการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดรุนแรงจะตอบสนองต่อยาได้ดีกว่าชนิดค่อยเป็นค่อยไป ปัจจุบันมีการใช้แอนตี้บอดี้ย์แมบเทอรา หรือริทูซิแมบ ไปทำลายเซลล์มะเร็ง
   
นอกจากนี้ในกรณีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแล้วอาการดีขึ้น แต่โรคกลับมาเป็นซ้ำภายหลังให้ยาเคมีบำบัดจนโรคสงบลงครั้งที่ 2 อาจรักษาด้วย วิธีการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Stem cell transplantation) โดยให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเอง ทำให้ผู้ป่วยมีระยะเวลาที่โรคไม่ลุกลามได้นานขึ้น สำหรับวิธีการรักษาใหม่ ๆ มีความพยายามในการใช้ยาแมบเทอราซึ่งเป็นแอนตี้บอดี้จับกับสารกัมมันตรังสี เมื่อยานี้เข้าไปในร่างกายจะไปทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง
   
อย่างไรก็ตามคนเรามีเซลล์ผิดปกติที่พร้อมจะกลายเป็นมะเร็งเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยร่างกายมีกระบวนการในการกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเกิดมีอาการจิตตก อาการเครียด กลไกทางภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ก็จะลดลงจนทำให้เซลล์ที่ผิดปกติเพิ่มจำนวนมากขึ้น ๆ จนกลายเป็นก้อนมะเร็งร้ายในที่สุด ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง คือพยายามปรับอารมณ์ไม่ให้เครียด วิตกกังวลมากเกินไป และหมั่นตรวจร่างกายสม่ำเสมอเป็นประจำ เพราะหากพบความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ การรักษาจะทำได้ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้การรักษาอาจไม่ดีเท่าที่ควร เพราะเป้าหมายของการรักษาโรคมะเร็งที่ดีที่สุดคือการวินิจฉัยที่รวดเร็ว รักษาได้อย่างทันท่วงที ผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาลไม่นานและค่าใช้จ่ายไม่บานปลาย
   
การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์มีหลากหลายวิธี หากเรารู้จักเลือกให้เหมาะสมก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย อย่ารอให้โรคร้ายถามหาก่อนจึงค่อยกระตือรือร้นดูแลตัวเอง เพราะอาจสายเกินไป...

เคล็ดลับสุขภาพดี : สร้างโภชนาการที่ดีให้ลูกก่อนวัยเรียน

โภชนาการที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมพัฒนาการของลูกน้อย โดยเฉพาะในเด็กวัยก่อนเรียนช่วงอายุ 1-6 ขวบ จะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านร่างกายและสมอง และยิ่งในช่วง 1-3 ขวบปีแรก การให้อาหารที่เหมาะสมและมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนเพียงพอ ถือเป็นการวางรากฐานชีวิตที่ดีสำหรับเด็กทั้งวัยนี้และในอนาคต
   
ล่าสุด บริษัทเนสท์เล่ (ไทย)จำกัด ได้จัดงานสัมมนา ’รอบรู้เรื่องโภชนาการเพื่อพัฒนาการลูกรักก่อนวัยเรียน“ เพื่อให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในเรื่องโภชนาการที่ดีสำหรับเด็กวัย  1-6 ขวบ โดยมี รศ.นพ.สังคม จงพิพัฒน์วณิชย์ หัวหน้าหน่วยโภชนาการ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร
   
รศ.นพ.สังคม กล่าวว่า นมแม่เป็นแหล่งอาหารที่ดีที่สุด เพราะมีสารอาหารที่จำเป็นที่องค์การอนามัยโลก(WHO) แนะนำว่าเด็กควรได้รับนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน จากนั้นจึงให้นมแม่ร่วมกับอาหารเสริมตามวัยจนถึง 2 ขวบหรือนานกว่านั้น
   
เด็กก่อนวัยเรียน 1-6 ขวบจะเติบโตเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองจะโตเร็วมากในเด็กแรกเกิดถึง 3 ขวบ ฉะนั้นอาหารจึงมีผลต่อสมองและการเจริญเติบโตของร่างกายที่ต้องดูแล โดยคุณแม่หลายคนกังวลว่าลูกกินเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ ซึ่งตามตารางของโครงการพัฒนาระบบกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย(สสส.)ระบุว่าปริมาณอาหารในหนึ่งวันของลูกอายุ 1-3 ขวบ ควรรับประทานกลุ่มข้าว-แป้งวันละ 3 ทัพพี กลุ่มผัก วันละ 2 ทัพพี กลุ่มผลไม้ วันละ 3 ส่วน (ผลไม้แบบผล 1 ส่วน เท่ากับ ส้มขนาดกลาง 2 ผล หรือกล้วยน้ำว้า 1 ลูก ผลไม้แบบชิ้นคำ 1 ส่วน เท่ากับ 6 ชิ้นคำ เช่น มะละกอสุก แตงโม สับปะรด ) กลุ่มนมวันละ 2 แก้ว กลุ่มเนื้อสัตว์วันละ 4 ช้อนกินข้าว และกลุ่มไขมัน-น้ำมัน วันละ 3 ช้อนชา ส่วนเกลือน้ำตาลกินแต่น้อย สำหรับปริมาณอาหารในหนึ่งวันของลูกอายุ 4-5 ขวบ ควรรับประทานกลุ่มข้าว-แป้ง วันละ 5 ทัพพี กลุ่มผัก วันละ 3 ทัพพี กลุ่มผลไม้วันละ 3 ส่วน กลุ่มนม วันละ 2-3 แก้ว กลุ่มเนื้อสัตว์ วันละ 4 ช้อนกินข้าว กลุ่มไขมัน-น้ำมัน วันละ 5 ช้อนชา ส่วนน้ำตาลเกลือกินแต่น้อย
   
หลักในการกินอาหารสามารถปรับได้ไม่จำเป็นต้องตรงตามตารางทั้งหมด เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นการบังคับลูกและทำให้ไม่อยากกิน จึงต้องลองสังเกตว่าลูกชอบทานอะไรและรสชาติแบบไหน เช่น ลูกชอบรสชาติเปรี้ยวก็ให้นำผักมายำ หรือลักษณะของอาหาร เช่น ลูกชอบแบบกรอบก็ให้นำผักมาชุบแป้งทอด ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ใจลูกและรู้จักพลิกแพลงเมนูจะทำให้ลูกรับประทานอาหารง่ายขึ้น ส่วนการเลือกนมเพื่อลูกก่อนวัยเรียนต้องได้คุณค่าอาหารที่ใกล้เคียงกับนมแม่ ได้แก่ ดีเอชเอและเออาร์เอ โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 โคลีน ลูทีน จุลินทรีย์โพรไบโอติก ใยอาหารพรีไบโอติก ฯลฯ 
   
ทางด้าน ดร.นพวรรณ ชินะโชติ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและจุลชีววิทยา บริษัทเนสท์เล่ (ไทย) จำกัด แนะนำว่า นมผงตราหมี แอดวานซ์ เอ็กซ์เปิร์ท สูตรใหม่ ในปริมาณ 1 แก้วมีส่วนประกอบสำคัญคือจุลินทรีย์โพรไบโอติก แอล-โพรเทคทัส พรีไบโอวัน (ใยอาหารจากธรรมชาติ) ในปริมาณที่แนะนำต่อวัน พร้อมด้วยดีเอชเอและเออาร์เอ โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในสัดส่วนที่เหมาะสมและมีคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับเด็กวัย 1 ขวบขึ้นไป นอกจากสารอาหารที่จำเป็นแล้วคุณแม่ควรอ่านฉลากข้างกล่องและทำความเข้าใจก่อนซื้อทุกครั้งว่าคุณค่าทางโภชนาการที่ติดอยู่ข้างกล่องนั้นคิดต่อกี่หน่วยบริโภคหรือกี่แก้ว เช่น หากต้องการให้ลูกได้รับปริมาณอาหารนั้นในปริมาณที่เหมาะสมต้องให้ลูกดื่มนมวันละกี่แก้ว เพราะบางครั้งดูโฆษณาเพียงอย่างเดียวโดยไม่พิจารณาและอ่านฉลากให้ละเอียดอาจทำให้เข้าใจไม่ถูกต้อง
   
เมื่อทราบสัดส่วนการให้อาหารและนมที่มีประโยชน์แบบนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่อย่าลืมสร้างโภชนาการที่เหมาะสม ให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรงควบคู่ไปกับพัฒนาการที่ดีเพื่อในอนาคตจะได้เป็นคนฉลาดและมีสุขภาพที่ดีค่ะ.

สรรหามาบอก

- โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ ขอเชิญคุณพ่อคุณแม่เข้าร่วมกิจกรรม ’ป้องกันภูมิแพ้ แค่ 1..2..3“ ร่วมเสวนาเรื่อง ’เคล็ดไม่ลับกับการดูแลลูกน้อยให้ห่างไกลภูมิแพ้“ โดยมีคุณแม่คนดัง คุณปุ้ย พิมลพรรณ และ คุณยุ้ย ปัทมวรรณ มาร่วมพูดคุยใน วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2554 เวลา 09.00-12.00 น. ณ บริเวณ
แกรนด์ฮอลล์ ชั้น 1 โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ สนใจโทร.0-2711-8181
   
- โรงพยาบาลมนารมย์ ฉลองครบรอบ 5 ปี จัดกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ ’ทักษะดูแลใจในชีวิตประจำวัน“ ในวันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2554 เวลา 09.30-11.30 น. ณ ห้องประชุมมนารมย์ ชั้น 2 ท่านที่สนใจต้องการเข้าร่วมกิจกรรมและอยากรับเทคนิคเพิ่มเติมในการฝึกฝนทักษะใจสามารถลงทะเบียนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2725-9595 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
   
- คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมจัด ’งานประชุมวิชาการนานาชาติโรคเขตร้อนในเด็ก และประชุมวิชาการเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยวในเขตร้อน“ ตั้งแต่วันที่ 18-20 ตุลาคม 2554 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อพัฒนาส่งเสริมเผยแพร่ผลงานทางวิชาการด้านโรคเขตร้อนในเด็ก พร้อมทั้งองค์ความรู้ ความก้าวหน้าเกี่ยวกับเวชศาสตร์การเดินทางและการสร้างภูมิคุ้มกันโรค ผู้สนใจดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ www.ictp2011.org
   
- ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย ขอเชิญชวนบริจาคโลหิตในโครงการ ’ปันโลหิตให้น้องตลอดเดือนตุลาคม 2554“ เพื่อสำรองโลหิตช่วยผู้ป่วยเด็กโรคเลือดให้ได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอและบรรเทาการขาดแคลนโลหิตในช่วงปิดเทอม เริ่มบริจาคได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2554 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์ และในส่วนภูมิภาค บริจาคได้ที่ภาคบริการโลหิตแห่งชาติจังหวัดภูเก็ต ชลบุรี อุบลราชธานี สงขลา เชียงใหม่และงานบริการโลหิต สถานีกาชาดหัวหิน พิเศษ!สำหรับผู้บริจาคโลหิตในโครงการจะได้รับ “กระเป๋าปันน้ำใจให้น้อง” เป็นของที่ระลึกสอบถาม โทร.0-2256-4300,0-2263-9600-99 ต่อ 1101,1753,1760




แพทย์ วิสัญญี เภสัชกร ยาแผนปัจจุบัน การดูแลผู้ป่วย สาระน่ารู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ

ควรทานยาปฏิชีวนะให้ครบ
ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
โรคฉี่หนู
อย่ากินแอปเปิ้ลไซเดอร์ถ้าไม่รู้ 4.5 ข้อนี้ article
ผิวดำง่ายมากเกิดจาก 6 ข้อนี้ article
กินอาหารแล้วอ้วนจริงหรือ article
เอ็นข้อศอกอักเสบ เกิดจากอะไร? article
เจาะลึกกระบวนการ 'ทดลองยาในคน' article
กว่าจะเป็นยา ต้องผ่านขั้นตอน อะไรบ้าง? article
5 โรคร้ายรักษาง่ายๆด้วย ข้าวกล้อง article
เคล็บลับนอนหลับง่ายๆโดยไม่ต้องใช้ยา article
5 อาหารไขมันสูงยิ่งกินยิ่งผอม article
มือชา รักษาอย่างไร? เข้าใจทุกประเด็นในคลิปนี้ article
กระดูกพรุน รักษาอย่างไร? เข้าใจทุกประเด็นในคลิปนี้ article
เท้าปุก คืออะไร? รักษาอย่างไร? article
กระดูกสันหลังเสื่อม รักษาอย่างไร? เข้าใจทุกประเด็นในคลิปนี้ article
ปวดหลังร้าวลงขา นั่งไม่ได้ รักษาอย่างไร? article
โรคท้องผูก ลำไส้ทำงานอย่างไร? เข้าใจทุกประเด็นในคลิปนี้ article
การรับมือกับโรคมะเร็ง article
โรคหลอดเลือดหัวใจในหนุ่มสาว article
การจัดการโรคไตเรื้อรัง และสิ่งที่เชื่อผิดๆ article
น้ำดื่มบำรุงไต ไม่อยากฟอกไตต้องดู article
5 ความเชื่อผิดๆที่ทำให้ลดน้ำหนักไม่มีวันสำเร็จ article
7 วิธีควบคุมความดันโดยไม่ต้องพึ่งยา article
3 เทคนิคลดความอ้วน “#ไม่ต้องออกกำลังกาย” article



เว็บไซต์ www.legendnews.net ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการคัดลอกหรือเปลี่ยนเป็นชื่อเว็บของท่าน