วิจัยพบ อาหารขยะทำสมองลูกด้อยพัฒนา
คงไม่ผิด หากคุณในฐานะพ่อแม่ดูรายการช่องสารคดีที่พาทัวร์โรงงานผลิตโดนัท ไอศกรีม บิสกิต หรืออาหารขยะสารพัดเมนูแล้วมองว่า อาหารเหล่านั้นถูกผลิตภายใต้กระบวนการที่ได้มาตรฐาน สะอาด ถูกอนามัย และสามารถซื้อหามาให้คนในครอบครัว โดยเฉพาะลูก ๆ รับประทานได้อย่างสะดวกใจ
แต่งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากซีกโลกตะวันตก ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของอาหารขยะเหล่านั้นก็ได้ออกมาตบหน้าบรรดาผู้ผลิตอาหารจังค์ฟู้ดเหล่านี้อย่างแรง เมื่อข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า การให้เด็ก ๆ ที่อายุไม่ถึง 3 ขวบ รับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและไขมันเหล่านั้นจะมีส่วนทำให้กระบวนการพัฒนาของเซลล์สมองด้อยประสิทธิภาพลง และอาจทำให้เด็กมีไอคิวต่ำกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน
ผู้ปกครองยุคโลกาภิวัฒน์อาจต้องอ่านข่าวนี้อย่างตั้งใจ เมื่อขนมกรุบกรอบ อย่างมันฝรั่งทอด บิสกิต หรืออาหารจานด่วนจากต่างประเทศอย่างพิซซ่ากลายเป็นตัวการทำให้ไอคิวของเด็ก ๆ ลดลง
โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้นำระดับไอคิวของเด็กที่ได้รับประทานอาหารดังที่กล่าวมาข้างต้นตั้งแต่อายุน้อย ๆ (ไม่เกิน 3 ขวบ) มาเปรียบเทียบกับเด็กที่ได้รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่ทำเองในบ้านพบว่า เด็กกลุ่มแรกมีไอคิวต่ำกว่าเด็กกลุ่มที่สองอย่างน้อย 5 แต้ม และแม้ว่าพ่อแม่จะปรับอาหารให้ดีขึ้นในภายหลัง ก็อาจสายเกินไปที่จะเยียวยาเสียด้วย เพราะกระบวนการพัฒนาของสมองนั้น ในช่วง 3 ขวบปีแรกถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของชีวิตเลยทีเดียว
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลงานของมหาวิทยาลัย Bristol ถือเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่วิจัยเกี่ยวกับภาวะโภชนาการและประสิทธิภาพของสมองของเด็ก โดยงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า อาหารที่มีประโยชน์เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการพัฒนาของสมองในช่วง 3 ปีแรกแห่งชีวิต ซึ่งถือเป็นช่วงที่สมองเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด
การให้เด็ก ๆ ในวัยดังกล่าวรับประทานแต่อาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน น้ำตาล ไม่เพียงแต่จะทำให้สมองของเด็กเติบโตได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่ยังทำให้เด็กขาดวิตามิน และสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองด้วย
โดยการวิจัยชิ้นนี้เป็นการติดตามผลระยะยาวของเด็กกว่า 14,000 คนที่เกิดในช่วงต้นของยุค 1990 ผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กต้องตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับอาหาร และเครื่องดื่มที่ให้เด็กบริโภคในช่วงอายุ 3, 4, 7 และ 8 ขวบ ซึ่งจากแบบสอบถามสามารถแบ่งกลุ่มอาหารที่เด็ก ๆ รับประทานได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกคือ อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง, กลุ่มสองคือ อาหารแบบดั้งเดิม มีผักและเนื้อสัตว์เป็นหลัก และกลุ่มที่สามคือ อาหารเพื่อสุขภาพ เน้นการรับประทานสลัด ผัก ผลไม้
ดร. พอลลีน เอ็มเม็ทท์ และ ดร. เคท นอร์ธสโตน สองนักวิจัยจากโครงการดังกล่าวเผยว่า ภาวะโภชนาการบกพร่องนั้นจะส่งผลต่อการพัฒนาของสมอง และจะไม่สามารถแก้ไขได้ แม้ว่าจะมีการปรับปรุงเมนูอาหารให้เด็กแล้วก็ตาม เนื่องจากทีมวิจัยพบว่า ในกลุ่มเด็กที่ได้รับประทานอาหารไม่มีประโยชน์นั้น เมื่อพวกเขามีอายุ 8 ขวบ มีอยู่ 20 เปอร์เซ็นต์มีระดับไอคิวต่ำกว่าเด็กกลุ่มที่ได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ถึง 5 คะแนน
"เมื่อพวกเด็ก ๆ อายุ 3 ขวบไปแล้ว การพัฒนาของสมองก็จะลดน้อยลง ซึ่งอาจหมายความว่า อาหารที่เด็ก ๆ รับประทานเข้าไปหลังจากช่วงนั้นอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากแล้ว"
ดร.เอ็มเม็ทท์ยังกล่าวด้วยว่า อาหารในกลุ่มที่ 2 - 3 นั้น (กลุ่มสองเนื้อสัตว์และผัก กลุ่มสาม เน้นผัก ผลไม้) สามารถช่วยให้เด็กมีระดับไอคิวที่ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ พวกเด็ก ๆ ได้รับประทานผักสด เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่นปลา และอาหารที่ทำเองในบ้านซึงมีปริมาณไขมันไม่สูง เมื่อเทียบกับกลุ่มจังค์ฟู้ดนั่นเอง