อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยไม่เพียงปรับอุณหภูมิให้ต่ำลงหรือสูงขึ้น ยังชักนำเชื้อโรคต่าง ๆ มาด้วย และภัยเงียบที่แฝงตัวมาพร้อมลมหนาวระลอกนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยทำให้พ่อแม่ต้องผวากันอีกครั้ง เมื่อไวรัสวายร้าย “ไวรัสโรต้า” คืบคลานมาเป็นตัวการทำให้เด็กท้องเสีย เพราะสภาพอากาศเย็นเชื้อโรคตัวนี้จึงเจริญเติบโตดีและทนนานเป็นพิเศษ จึงเกิดการแพร่กระจายไปสู่ลูกน้อยโดยง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นการรู้เท่าทันโรคจึงสำคัญต่อการเสริมเกราะป้องกันให้ลูกน้อยแข็งแรง
ความน่ากลัวของเชื้อไวรัสโรต้า ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย เผยว่า อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ของคุณแม่โลกดิจิทัล แต่ความร้ายกาจที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วงรุนแรง และก่อให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการลูก คิดว่าแม่จำนวนมากยังไม่รู้ เพราะช่วงติดเชื้อร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารและเกลือแร่ได้ โดยเฉพาะเด็กวัย 1-2 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงวัยแห่งพัฒนาการทั้งร่างกาย สมองและระบบประสาท หากเด็กติดเชื้อในทางเดินลำไส้จะส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหาร และย่อมส่งผลกระทบต่อการยับยั้งพัฒนาการของลูก ไม่ว่าจะเป็นด้านศักยภาพสมอง กระบวนการคิด การเรียนรู้ รวมทั้งการเจริญเติบโตของร่างกายในอนาคตได้
“มีการศึกษาวิจับพบว่า เด็กได้รับเชื้อไวรัสโรต้า และมีอาการของโรคท้องเสียซ้ำ ๆ ช่วงวัย 1-2 ปี ได้รับผลกระทบต่อร่างกายด้านต่าง ๆ เช่น ความสูงที่อาจต่ำกว่าเด็กทั่วไป 8.2 ซม.ในวัยก่อน 7 ปี หรือความพร้อมต่อการเรียนรู้ช้ากว่าเด็กทั่วไปในช่วงวัยเรียน ยิ่งในเด็กที่ท้องร่วงซ้ำ ๆ ก่อนอายุ 2 ปี จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสมองหรือไอคิวต่ำกว่าเด็กวัยเดียวกันถึง 10 จุด นอกจากนี้เด็กร้อยละ 98 ติดเชื้อไวรัสโรต้าอย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะวัย 6 เดือนถึง 5 ปี บางกรณีอาจเกิดกับเด็กอายุน้อยกว่านั้นซึ่งต้องระวังให้มาก สำหรับอาการเบื้องต้นที่สังเกตได้คือ มีไข้ อาเจียน ท้องร่วง บางรายอาจเกิดภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง และต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือหลายวัน” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าว
ด้านวิธีการป้องกัน ศ.นพ.สมศักดิ์ แนะนำว่า โรคท้องร่วงจากไวรัสโรต้าไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะรักษาหายได้ ต้องรักษาอาการแบบประคับประคองและให้น้ำเกลือ ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดจึงแนะนำให้ลูกน้อยได้รับวัคซีน เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงของโรค รวมทั้งแม่ควรให้นมลูกอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อให้เด็กมีภูมิคุ้มกันที่ดี เบื้องต้นพ่อแม่ยังสามารถป้องกันโรคนี้ด้วยการรักษาความสะอาดให้ถูกสุขลักษณะ หมั่นล้างมือให้ตัวเองและลูกอยู่เสมอ การฉีดวัคซีนก็เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพก่อนเข้าวัยเสี่ยง โดยเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์หรือมีลูกวัยไม่เกิน 2 เดือน ควรรีบปรึกษาแพทย์ตั้งแต่ต้น โดยวัคซีนมี 2 ชนิดคือ ชนิดกิน 2 ครั้ง และชนิดกิน 3 ครั้ง ซึ่งวัคซีนตัวหลังนี้จะให้กินเมื่อเด็กอายุ 2, 4, 6 เดือน ป้องกันได้ 6 เดือน ส่วนวัคซีนชนิดกิน 2 ครั้ง จะให้เมื่อเด็กอายุ 2, 4 เดือน รับการป้องกันเร็วตั้งแต่ 4 เดือน.