มันฆ่าคนได้จริงหรือ อันตรายจากแมลง
จากกรณีข่าวแมงมุมตกเป็นผู้ต้องสงสัยกัดคนถึงตาย ทำเอาหวาดผวาไปตาม ๆ กัน หลายคนพาลจิตตกกังวลไปถึงแมง และแมลงชนิดอื่น ๆ ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วเจ้าสัตว์ตัวเล็กเหล่านั้น มีฤทธิ์ร้ายถึงขั้นเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้หรือไม่ มาคลายปมนี้กับผู้เชี่ยวชาญกัน
น.ส.วิมลวรรณ โชติวงศ์ กลุ่มงานวิจัยไรและแมงมุม กลุ่มกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร เผยถึง ลักษณะเขี้ยวพิษของแมงมุม ว่า มีขนาดเล็กมาก การกัดครั้งเดียวไม่สามารถทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ จากกรณีที่มีข่าวแมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาลมีพิษร้ายแรงกว่างูเห่า 3 เท่า ถ้าเปรียบเทียบเขี้ยวงูเห่า และแมงมุม จะมีลักษณะแตกต่างกันมาก โดยพิษของงูเห่าเมื่อกัดครั้งหนึ่งจะมีปริมาณพิษ สมมติ 10 หยด แต่แมงมุมกัดครั้งหนึ่งอาจจะมีปริมาณพิษไม่ถึงหยด เมื่อเปรียบเทียบพิษกันแล้วไม่สามารถจะทำให้คนมีอันตรายถึงชีวิตได้
“แมงมุมทุกชนิดมีพิษในตัวเอง แต่พิษไม่มีปริมาณมากถึงขนาดทำให้คนเสียชีวิตได้ แมงมุมมีพิษเพื่อป้องกันตัวเอง เพื่อล่าอาหาร เนื่องจากแมงมุมไม่มีเขี้ยวที่แข็งแรงเหมือนแมลง ไม่มีกรามที่แข็งแรง แมงมุมจึงต้องมีพิษ เพื่อที่เมื่อกัดแล้วทำให้เหยื่อเป็นอัมพาต และสามารถกินได้ ดังนั้น พิษของแมงมุมถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการดำรงชีวิต แต่ทั้งนี้ การตอบสนองของพิษในแต่ละคนจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทาง เช่น บางคนเป็นภูมิแพ้ได้ง่าย ก็อาจตอบสนองเร็วกับพิษของแมงมุม” น.ส.วิมลวรรณ กล่าว
สำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั้น น.ส.วิมลวรรณ กล่าวว่า เมื่อถูกแมงมุมกัดอย่าตื่นตระหนก ให้ล้างแผลด้วยน้ำสบู่ และสังเกตอาการ โดยห้ามบีบ หรือ กดแผล เพื่อขับพิษออก เนื่องจากพิษบางตัวของแมงมุมจะไหลกลับเข้าไปในกระแสเลือดได้ ควรประคบด้วยน้ำแข็งหากมีอาการปวด หรือ บวม หลีกเลี่ยงการใช้แรงมาก ๆ ซึ่งอาการหลังจากโดนแมงมุมกัด คือ ปวด บวม เกิดเนื้อตาย หากมีอาการหายใจไม่สะดวก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใจสั่น เหงื่อออกมาก หนาวสะท้าน ให้รีบพบแพทย์
ด้าน นางศิริณี พูนไชยศรี ผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่อแตนและผึ้ง ที่ปรึกษากรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า สำหรับแมง หรือ แมลง ที่ทำร้ายคนแล้วเสียชีวิตซึ่งเป็นข่าวให้เห็นบ่อย คือ ต่อหัวเสือ โดยดัดแปลงอวัยวะวางไข่เป็นเหล็กใน ซึ่งส่วนปลายมีรอยบากคล้ายเงี่ยง ขณะแทงเหล็กในจะปล่อยน้ำพิษ และไม่ทิ้งเหล็กในไว้ที่เหยื่อ จึงทำให้ต่อยซ้ำได้หลายครั้ง ผู้ถูกต่อยจึงควรรีบไปพบแพทย์
ส่วนแมลงที่ก่อให้เกิดอันตรายจากการสัมผัสนั้น นางศิริณี ยกตัวอย่าง “ด้วงก้นกระดก” หรือ แมลงเฟรชชี่ ซึ่งมีน้ำพิษทั่วตัว จะซึมออกมาเมื่อตกใจ หรือ ถูกบีบ ขยี้ โดยอาการหลังถูกน้ำพิษที่ผิวหนัง จะระคายเคือง มีผื่น แสบคัน เป็นตุ่มใส เมื่อหายแล้วมักทิ้งรอยแผลเป็น สำหรับแมลงที่ก่อให้เกิดอันตรายจากการบริโภค เช่น “ด้วงน้ำมัน” มีปีกเป็นลายสีดำสลับเหลือง พิษเกิดจากสารแคนทาร์ดิน ซึ่งทนต่อความร้อนได้ถึง 218 องศาเซลเซียส เมื่อถูกผิวหนังพบว่าจะทำให้เกิดผื่นคัน พุพอง หากบริโภคจะคลื่นไส้ ท้องเสีย จึงห้ามบริโภค ต่อมาเป็น “เพลี้ยกระโดดปีกแบน” หรือ แมงหัวหงอก ลักษณะตัวอ่อนจะเกาะกันมองเห็นเป็นกลุ่มสีขาวตามกิ่งก้านต้นไม้ พบว่ามีชาวบ้านนำตัวอ่อนมาล้างน้ำแล้วคั่วกิน จากนั้น เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ จึงไม่ควรบริโภค
นอกจากนั้น ประเด็นน่าสนใจคือ แมลงที่กัด หรือ ต่อย จำพวกต่อ แตน ผึ้ง มดตะนอย และมดคันไฟ นั้น หลายคนอาจมีอาการเล็กน้อย หรือ รุนแรงจนเสียชีวิตในกรณีเกิดปฏิกิริยาอนาไฟย์แลคซิล (Anaphylaxis) คือ การแพ้ชนิดรุนแรง เนื่องจากหลอดเลือดในร่างกายขยายตัว ความดันเลือดตก หลอดลมตีบ ก็ทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาการแพ้ที่ต้องสังเกต คือ มีผื่นผิวหนังแดง และคัน, หน้า ตา ปากบวม หรือ บวมทั้งตัว หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ท้องเสีย อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ ช็อก และเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ อาการแพ้พิษขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคนด้วย โดยกลุ่มเสี่ยงคือผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแร็ง หรือ มีโรคประจำตัว เป็นต้น
ทั้งนี้ สาเหตุการเสียชีวิตจากแมง หรือ แมลงกัด ต่อย ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจาก 2 กรณี คือ ปฏิกิริยาการแพ้รุนแรง หรือ ไตวายจากเซลล์กล้ามเนื้อถูกทำลาย ซึ่งปฏิกิริยาการแพ้รุนแรงเกิดได้ในแมลง หรือ สัตว์ทุกตัวที่โดน ขึ้นอยู่กับผู้ที่ถูกกัด หรือ ต่อย มีภูมิต้านทานมากน้อยเพียงใด ส่วนไตวายจากกล้ามเนื้อถูกทำลายมักจะเกิดในพวกผึ้งกับต่อ บางคนถูกผึ้งกับต่อต่อยอาจจะมีแค่อนาไฟย์แลคซิลอย่างเดียว หรือ ไม่เกิดอนาไฟย์แลคซิล แต่เกิดไตวาย หรือ เกิดทั้ง 2 กรณี ก็เป็นได้เหมือนกัน.
(ภาพประกอบจากงานเสวนาเรื่อง “คลายปมแมง และแมลง ฆ่าคนได้จริงหรือ” ที่ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)