ReadyPlanet.com
dot dot
dot

dot
ตราครุฑ




รู้ทันรักษาได้โรคตึ้บๆตันสมองพร่ามั่วรู้ไว้ไม่เครียด

รู้ทันรักษาได้โรคตึ้บๆตันสมองพร่ามั่วรู้ไว้ไม่เครียด

รู้ไว้รักษาได้เร็วโรคหลอดเลือดอุดตัน ผนังหลอดเลือดแข็งตัว  และโรคหัวใจ

ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ แขนขาอ่อนแรง 

          ไลฟ์สไตล์คนกรุงน่าห่วง ทำงานเร่งรีบ เครียด บริโภคอาหารฟาสต์ฟูด อ้วน ขาดการออกกำลังกาย เสี่ยงเป็น โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ส่วนใหญ่มักมีอาการเฉียบพลัน หากถึงมือแพทย์ช้า อาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ตลอดชีวิต

          โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน หรือ Stroke เกิดจากภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ส่งผลให้สมองขาดเลือด อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ กลายเป็น โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน อาการเบื้องต้นที่พบบ่อยของ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เช่น ตาพร่ามัวมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งซีก อ่อนแรงและหน้าเบี้ยว หรือมีอาการแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย พูดลำบาก หรือฟังไม่เข้าใจ เวียนศีรษะ การทรงตัวไม่ดี เดินเซ กลืนลำบาก ปวดศีรษะ (บางครั้งจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง) ซึ่งอาจจะแสดงอาการออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีอาการหลายอย่างพร้อมกัน ส่วนใหญ่ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน มักเกิดในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงวัยที่กำลังสร้างสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาและวินิจฉัยโดยด่วน ถ้าผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ได้รับการรักษาและสามารถกลับคืนมาเป็นปกติใน 24 ชั่วโมง เรียกว่า TIA (Transient Ischemic Attack) หรือ Mini stroke

          สาเหตุสำคัญของ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เกิดจากการมีไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือดด้านในหลอดเลือดสมอง หรือมีลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ หลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจโต ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ผนังหัวใจรั่ว หรือเกิดจากการฉีกของผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้เส้นเลือดอุดตัน รวมถึงการแข็งตัวของเลือดที่เร็วเกินไป หรือเกล็ดเลือดมากเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้

 

โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
 
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน


          ผู้ที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อการเกิด โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ได้แก่ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ทำให้มีลิ่มเลือดหลุดไปอุดเส้นเลือดสมอง ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง จะทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเร็วกว่าปกติ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก ละเลยการออกกำลังกาย นอกจากนี้ฮอร์โมนบางอย่างโดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง จะทำให้หลอดเลือดดำในสมองอักเสบได้

การป้องกัน โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

          งดสูบบุหรี่

          ควบคุมอาหาร อย่าให้น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน

          ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

          ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

          ถ้าเป็นเบาหวาน ควรรักษาระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด

          หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          ถ้าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ควรดูแลความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

          หากมีอาการผิดปกติ เช่น แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดลำบาก เวียนศีรษะ มองเห็นภาพซ้อน ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

          ควรตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ เพื่อตรวจหาความเสี่ยง เพราะอาจเกิดลิ่มเลือดในหัวใจหลุดเข้าไปอุดตันในหลอดเลือดสมองได้

          การจะทราบว่าผู้ป่วยที่มาพบแพทย์เป็น โรคหลอดเลือดสมอง หรือไม่ เป็นที่จุดใด มีความรุนแรงเพียงใดนั้น ควรทำการตรวจโดยเครื่องมือทางการแพทย์ ที่ให้ผลละเอียดและมีความแม่นยำสูง เพื่อประกอบการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งมีหลายวิธี อาทิ การตรวจสมองด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan) การตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI และ MRA) การตรวจการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดในสมอง (Transcranial Doppler : TCD) และการตรวจหลอดเลือดคอ เป็นต้น ซึ่งผลที่ได้มีความละเอียดแม่นยำมากพอ ที่จะช่วยทำให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การรักษา โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน

          สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เกิดความสำเร็จในการรักษา โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน คือ การทำให้เซลล์ของสมองยังอยู่รอดให้ได้นานที่สุด ถ้าเราสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้ทันเวลาและในระดับที่เพียงพอ ก็สามารถทำให้เนื้อสมองบริเวณนั้นฟื้นตัวได้เร็ว ส่งผลให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติได้ ซึ่งการรักษานี้จะต้องทำภายใน 3 ชั่วโมง เพื่อให้ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolysis) การให้ยานี้ผู้ป่วยควรอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านสมองเท่านั้น หลังจากให้ยาแล้วผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ควรอยู่ในโรงพยาบาล 2-3 วัน เพื่อดูอาการต่อไป หากเกิน 3 ชั่วโมงแล้ว ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาในหอผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง เพื่อทำการรักษาด้วยวิธีการที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยมากที่สุด เช่น

          รักษาโดยการให้ยาบางประเภท เพื่อให้เซลล์สมองเสียน้อยที่สุด โดยระยะแรกๆ ควรจะดูแลผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน อย่างใกล้ชิด เพื่อสังเกตอาการแทรกซ้อน บำบัดรักษาโรคอื่นๆ ของผู้ป่วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันสูง โรคไต ปอดบวม กลืนลำบาก เป็นต้น

          ใช้กายภาพบำบัดในรายที่เป็นอัมพาต ไม่ว่าจะเป็นการฝึกนั่ง ยืน เดิน การฝึกกลืน ฯลฯ

          ในรายที่ซึมเศร้า เป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคอัมพาต มักจะให้การรักษาโดยใช้จิตบำบัดร่วมด้วย

          ผู้ป่วยควรได้รับการฟื้นฟูมากที่สุด เพื่อให้ช่วยเหลือตัวเองหรือเป็นอิสระมากที่สุด ผู้ป่วยบางรายช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทีมแพทย์และพยาบาล ควรจะมีการติดตามอาการผู้ป่วยขณะบำบัดที่

ในเนื้อสัตว์และไขมันสัตว์จะมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ผนังหลอดเลือดแข็งตัว และโรคหัวใจ คนส่วนใหญ่ที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์เป็นโรคหัวใจกันมากกว่าคนที่ชอบรับประทานอาหารจากพืชถึง 3 เท่า มะเร็งลำไส้ใหญ่และที่ทวารหนักถึง 2 เท่า มะเร็งเต้านมมากกว่า 3 เท่า เนื้อสัตว์ที่คุณรับประทานเข้าไปใช้ประโยชน์ได้แค่ 67 % ที่เหลืออีก 33 % ก็คือพิษสะสมขังระหว่างที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเรื่องนี้คนทั่วไปไม่ทราบ เนื่องจากยังไม่มีใครเคยบอก โดยเนื้อเหล่านี้จะสะสมที่ลำไส้ใหญ่ โดยจะไปพอกที่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ที่เคยมีที่ว่างจะค่อยๆ อุดตันถ้าเป็นระยะเวลานาน รูของลำไส้ก็เกิดการตีบตันเหลือช่องว่างนิดเดียว ระหว่างที่ขังก็จะเกิดพิษไหลย้อนกลับเข้าเส้นเลือดไปทั่วร่างกาย สังเกตได้ว่าคนไทยรุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย ไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ หรือถ้าบริโภคก็มีนานๆ ครั้ง คนที่บริโภคเนื้อมากๆ จะทำให้ตับ ไต อวัยวะสำคัญที่ช่วยกำจัดสารพิษให้ร่างกายทำงานหนักมากผิดปกติ ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายลดลง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้กรดยูริคที่มีมากในเนื้อสัตว์ก็จะสะสมอยู่ตามข้อต่อต่างๆ ตามร่ายกาย ทำให้เจ็บปวดตามข้อกลายเป็นโรคเกาต์ และนอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างมากในสัตว์ที่ตกใจกลัวสุดขีดสารพิษต่างๆ เช่น ฮอร์โมนอะดรีนาลิน และกรดยูริค ซึ่งถูกขับออกมาเมื่อสัตว์เกิดความกลัวจัด หรือได้รับความรุนแรงจะกระจายไปทั่วร่างของสัตว์ และตกค้างอยู่ตามเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ และเมื่อสัตว์ตายลงใหม่ๆ สารโตเม็น (PTOMAINE) จะถูกขับออกมาเพื่อมาเร่งการสลายตัว และเน่าเปื่อยของร่างกาย นอกจากสารเคมีภายในตัวของสัตว์เอง ยังมีสารเคมีที่ปะปนอยู่ในเนื้อสัตว์ในขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 อาหารที่สัตว์กินเข้าไปไม่ใช่อาหารที่เป็นธรรมชาติเหมือนเช่นในอดีต ทุ่งหญ้าจำนวนมากถูกคุกคามโดยสารมีต่างๆ เช่น ปุ๋ยเคมี และสารกำจัดศัตรูพืช รวมทั้งการใช้สารเร่งโต และยาปฏิชีวนะ สารเหล่านี้สลายตัวได้ยากและถูกสะสมอยู่ในร่างกายของสัตว์ในปริมาณที่สูง กว่าสัตว์เหล่านั้นจะถูกฆ่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร สัตว์ก็ได้รับปริมาณสารพิษในปริมาณเข้มข้น เพราะเนื้อสัตว์มีสารเคมีมากกว่าผักผลไม้ถึง 11 เท่า ขั้นตอนที่ 2 การกระตุ้นการเจริญเติบโต และการปรับปรุงคุณภาพเนื้อสัตว์ที่ได้ โดยฉีดฮอร์โมน และยาเร่งหลายประเภทรวมถึงยาปฏิชีวนะ ยากล่อมประสาท ยาเจริญอาหาร ในรูปแบบของอาหารสำเร็จรูปหัวเชื้อขั้นตอนที่ 3 การปรับปรุงเนื้อสัตว์ให้ดูสด และอยู่นาน น่ารับประทาน โดยฉีดสารไนเตรท ไนไตรท์ คอปเปอร์ซัลเฟต และวัสดุกันเสียอื่นๆ เช่น ฟอร์มารีน ทำใหผู้บริโภคเนื้อสัตว์เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง




แพทย์ วิสัญญี เภสัชกร ยาแผนปัจจุบัน การดูแลผู้ป่วย สาระน่ารู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ

ควรทานยาปฏิชีวนะให้ครบ
ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
โรคฉี่หนู
อย่ากินแอปเปิ้ลไซเดอร์ถ้าไม่รู้ 4.5 ข้อนี้ article
ผิวดำง่ายมากเกิดจาก 6 ข้อนี้ article
กินอาหารแล้วอ้วนจริงหรือ article
เอ็นข้อศอกอักเสบ เกิดจากอะไร? article
เจาะลึกกระบวนการ 'ทดลองยาในคน' article
กว่าจะเป็นยา ต้องผ่านขั้นตอน อะไรบ้าง? article
5 โรคร้ายรักษาง่ายๆด้วย ข้าวกล้อง article
เคล็บลับนอนหลับง่ายๆโดยไม่ต้องใช้ยา article
5 อาหารไขมันสูงยิ่งกินยิ่งผอม article
มือชา รักษาอย่างไร? เข้าใจทุกประเด็นในคลิปนี้ article
กระดูกพรุน รักษาอย่างไร? เข้าใจทุกประเด็นในคลิปนี้ article
เท้าปุก คืออะไร? รักษาอย่างไร? article
กระดูกสันหลังเสื่อม รักษาอย่างไร? เข้าใจทุกประเด็นในคลิปนี้ article
ปวดหลังร้าวลงขา นั่งไม่ได้ รักษาอย่างไร? article
โรคท้องผูก ลำไส้ทำงานอย่างไร? เข้าใจทุกประเด็นในคลิปนี้ article
การรับมือกับโรคมะเร็ง article
โรคหลอดเลือดหัวใจในหนุ่มสาว article
การจัดการโรคไตเรื้อรัง และสิ่งที่เชื่อผิดๆ article
น้ำดื่มบำรุงไต ไม่อยากฟอกไตต้องดู article
5 ความเชื่อผิดๆที่ทำให้ลดน้ำหนักไม่มีวันสำเร็จ article
7 วิธีควบคุมความดันโดยไม่ต้องพึ่งยา article
3 เทคนิคลดความอ้วน “#ไม่ต้องออกกำลังกาย” article



เว็บไซต์ www.legendnews.net ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการคัดลอกหรือเปลี่ยนเป็นชื่อเว็บของท่าน