นรก-สวรรค์คุณว่ามีจริงไหม?
ถ้าเราเชื่อว่า “สวรรค์อยู่ในอก, นรกอยู่ในใจ” กันจริง ๆ , ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันต่อในเรื่องนี้ใช่ไหม?
ไม่ใช่....เพราะเอาเข้าจริง ๆ, เราก็ยังอยากจะเชื่อว่าสวรรค์กับนรกควรจะมีจริง, เพราะหาไม่แล้ว, เราจะแข่งกันทำบุญทำทาน, สวดมนต์ไหว้พระ, และทำอะไรต่อมิอะไรกันมากมายเพียงเพื่อว่า “ตายแล้วจะไปสวรรค์” กันทำไมเล่า?
สำหรับบางคนแค่ตายแล้วขึ้นสวรรค์ยังไม่พอ, ต้องการจะขึ้นสวรรค์ชั้นสูง ๆ อีกด้วย...
ด้วยเหตุนี้กระมัง, ใครต่อใครก็เลยแย่งกัน “ทำบุญ” ด้วยเงินเยอะ ๆ บ่อย ๆ เพื่อว่าเมื่อจากไปแล้ว, ก็ยังจะอยู่สวรรค์ชั้นสูงกว่าเพื่อนสมัยที่อยู่ร่วมโลกเสียอีก
อย่างนี้ดูจะเอาเปรียบเพื่อนร่วมทุกข์ในโลกนี้เกินไปหน่อยแล้วกระมัง
เพราะถ้าใครมีเงินจ่ายมากกว่าได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงกว่า, ก็แปลว่าการขึ้นสวรรค์หรือลงนรกไม่เกี่ยวกับการทำความดีความถูกต้องแล้ว...เพราะวัดกันด้วยเงิน, ไม่ได้ประเมินกันด้วยความประพฤติของมนุษย์นั้นหรือ?
และหากเป็นเช่นนี้จริง, ก็แปลว่าหากพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงและพระเจ้าเป็นผู้กำหนดว่าใครขึ้นสวรรค์และลงนรก, หรือไปขึ้นสวรรค์ชั้นไหนหรือลงนรกขุมไหนแล้วไซร้, มนุษย์ (ตดเหม็น) นี้ก็สามารถจะ “ให้สินบน” พระเจ้าได้กระนั้นหรือ?
ผมจะยอมเชื่ออย่างนั้นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะผมอยากไปสวรรค์ที่มีชั้นเดียว, เท่าเทียมกันหมด, และต้องวัดกันด้วยการทำความดี หลีกเลี่ยงความชั่ว ไม่ใช่วัดกันที่ใครทำบุญสมัยเป็นคนอยู่บนโลกด้วยเงินหรือสิ่งของให้พระให้เจ้ามากกว่ากัน
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว, ผมก็จะหมดความพยายามที่จะทำตนเป็นคนดีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทีเดียว (ฮา)
วันก่อน ผมอ่านที่ท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) ที่ผมเคารพนับถืออย่างยิ่งเรื่อง “นรก-สวรรค์ในพระไตรปิฎก” แล้ว, จึงค่อนมีกำลังใจที่จะเป็นทำตนเป็นคนดีมากขึ้น
เพราะท่านบอกชัดเจนว่าในพระพุทธศาสนานั้น, สิ่งที่สำคัญกว่าสวรรค์คือ “นิพพาน”
เพราะถ้าเราเป็นชาวพุทธที่แท้จริง, ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นเลยว่า “สวรรค์” ไม่ใช่จุดหมายปลายทางแห่งชีวิต
ท่านบอกจะแจ้งว่าเมื่อเราปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ถ้าจะให้ตรงตามหลักการจริง ๆ เราก็บอกว่าไม่ใช่เพื่อไปสวรรค์ แต่เพื่อนิพพาน
ต้องเข้าใจด้วยว่าในคำสอนพระพุทธเจ้านั้น, เรื่องนรกหรือสวรรค์เป็นเรื่องชีวิตหน้า
แต่จุดหมายของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่บรรลุได้ในชาตินี้
หรือพูดให้ชัดขึ้นก็คือว่านิพพานนั้นสามารถบรรลุได้ในชาตินี้
พูดให้ง่ายกว่านั้นก็คือขณะที่เป็น ๆ อยู่นี่แหละ, มนุษย์เราก็สามารถบรรลุนิพพานแล้ว
ไม่เห็นจะต้องรอให้ตายเสียก่อนแล้วจึงไปสวรรค์เลย
ฟังท่านพระธรรมปิฎกอธิบายอย่างนี้, ผมค่อยมีกำลังใจเป็นคนบนโลกนี้มากขึ้นหน่อย
เพราะท่านบอกว่าเราอาจบรรลุจุดหมายสูงสุดได้ในชาตินี้แล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องหลังการตาย
ดังนั้น, เรื่องนรกหรือสวรรค์ก็ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องแต่ประการใด
ที่ผมฟังแล้วมีกำลังใจมากยิ่งขึ้นก็ตรงที่ท่านอาจารย์บอกว่าในพระพุทธศาสนานั้น นรกหรือสวรรค์เป็นเพียงหนึ่งในสังสารวัฎ แปลว่ามีการหมุนขึ้นหมุนลงได้, ไม่ได้กำหนดตายตัวหรือเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย
เพราะท่านบอกว่า “ตกนรกแล้วต่อไปถ้าเรามีกรรมดีก็กลับไปขึ้นสวรรค์ หรือมาเปิดเป็นมนุษย์ คนที่เกิดเป็นพระพรหมด้วยกรรมดี บำเพ็ญฌานสมาบัติ ต่อไปเมื่อสิ้นบุญแล้วกลับไปตกนรก เพราะมีกรรมชั่วในหนหลังก็ได้ มันก็หมุนเวียนกันไปมา นรก-สวรรค์จึงเป็นเพียงส่วนที่หมุนเวียนอยู่ในระหว่างกลาง แล้วก็เป็นของชั่วคราว เพราะฉะนั้น ความสำคัญก็มีน้อยลง เพราะเรามีโอกาสที่จะแก้ไขตัวได้มาก...”
ถ้าอย่างนั้น, ก็ต้องถามว่าสรรค์กับนรกมีจริงหรือเปล่า?
อาจารย์พระธรรมปิฎกท่านบอกว่าเรื่องนี้พิสูจน์ไม่ได้ทั้งในแง่บวกหรือแง่ลบ...ว่ามีหรือไม่มี
เพราะจะพิสูจน์ด้วยตา ด้วยหู ด้วยจมูก ลิ้น กายไม่ได้ ต้องพิสูจน์ด้วยชีวิตที่ใจนั่นแหละ
ท่านก็จึงสรุปว่าถ้าจะพิสูจน์กันจริง ๆ ก็ต้อง “ลองตายดู”
ใครพร้อมจะ “ลองตาย” ไหม? ก็ไม่มีใครยอมหรือกล้าทำอีก
ถ้าเป็นนักปรัชญา ก็จะเอาให้รู้ความจริงเสียก่อน, และหัวข้อนี้ก็เถียงกันมาห้าพันปีโดยประมาณแล้ว
ถ้าเอาตามหลักของปรัชญา, ก็ต้องรอให้ตายกันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งจึงจะหาคำตอบได้กระนั้นหรือ?
หรือจะไม่มีคำตอบตลอดไปเลยก็เป็นได้
แต่พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ
พระอาจารย์บอกว่า “เรามีวิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้โดยให้ถือการปฏิบัติที่ไม่ผิด อยู่ที่การวางท่าทีของเราเป็นสำคัญ เรื่องนรกกับสวรรค์ก็อยู่ในประเภทนี้...”
ท่านสอนว่าเราไม่ต้องคิดเลยไปถึงนรกหรือสวรรค์หรือชาติหน้า เพราะปัจจุบันที่เป็นอยู่เป็นเรื่องที่เราควรจะเอาใจใส่มากกว่า
การอยู่กับ “ปัจจุบันขณะ” จึงมีความสำคัญมาก เพราะเราได้รับผลอยู่ตลอดเวลา
นรก-สวรรค์ข้างหน้ายังไกลนัก มองง่าย ๆ ว่าเมื่อในปัจจุบันเรามีแต่ความเร่าร้อนขุ่นมัวเป็นทุกข์อยู่เสมอแล้วไซร้ ก็น่ากลัวว่าเราจะไปไม่ได้อยู่แล้ว
อาจารย์พระธรรมปิฎกบอกว่าในทางพุทธศาสนาถือเรื่องปัจจุบันสำคัญที่สุดเพราะ
๑. เราได้รับผลทันที เรารับผลเห็นอยู่ชัด ๆ แน่นอน
๒. ข้างหน้าเป็นผลสืบไปจากปัจจุบันนี้เอง เอาปัจจุบันนี้ไปทำนายข้างหน้าได้อยู่แล้ว
พูดให้ง่าย ก็คือว่าสาระของนรก-สวรรค์ก็คือเรื่องของการรับอารมณ์ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาเท่านั้นเอง
ท่านให้แยกนรก-สวรรค์เป็น 3 ระดับอย่างนี้
นรกระดับที่หนึ่ง หลังจากตาย ไกลตัว ยังไม่ได้รับ ปัจจุบันเรายังไม่รู้สึก แล้วมันก็เนื่องไปจากปัจจุบันด้วย ต้องสร้างในปัจจุบันนี่แหละ
ระดับที่สอง สวรรค์ในอก นรกในใจ ก็อยู่ที่ชีวิตที่สร้างภูมิระดับจิตในปัจจุบัน แต่ยังเป็นเรื่องที่มีเป็นครั้งคราว เพราะเอาเฉพาะที่เป็นเรื่องใหญ่
ระดับที่สาม ก็ละเอียดลออเป็นไปอยู่ประจำตลอดเวลาที่รับอารมณ์ ขณะนี้ถ้าเราสร้างความรู้สึกที่ดี ก็ทำให้เกิดสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้
ท่านยกตัวอย่างว่า
“สมมติว่าใจไม่สบาย เอ ฟังเรื่องนี้ไม่น่าสนใจ ชักรำคาญ เห็นอะไรไม่ดีไปหมด ชักกลุ้ม แต่ถ้าทำใจให้ดีขึ้นมาว่า เอ นี่เป็นเรื่องสำคัญ ถึงจะยากหน่อย ก็ควรจะเอาใจใส่ให้ดี สร้างฉันทะ ให้อยากรู้ ทำอารมณ์ดีให้ใจสบายขึ้นมา ก็มองอะไรชักจะดีขึ้นไปหมด สวรรค์ก็เริ่มมาแล้ว...”
อ่านอย่างนี้แล้ว, ผมก็เริ่มเห็นสวรรค์จริง ๆ ครับ
ตอนหน้ามาคุยกันต่อครับว่าท่านอาจารย์สอนให้เรา “วางท่าที” ต่อสวรรค์กับนรกอย่างไรจึงจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง