ภัยปัญหาเด็กๆๆ
ประเทศไทยในปัจจุบัน กับ “ปัญหาของเด็ก” นั้น นอกจากกรณีเด็กหญิงเด็กสตรี “ถูกล่วงละเมิดทางเพศ-ถูกกระทำอนาจาร-ถูกข่มขืน” โดยที่ผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะชาชิน ไม่ค่อยใส่ใจดูแลแก้ไขป้องกัน หรือแม้แต่จะรณรงค์ เพื่อให้การละเมิดสิทธิเด็กในกรณีนี้ลดลง-หมดไป ปัญหา ’ความไม่ปลอดภัยของเด็ก“ ในกรณีอื่น ๆ ก็นับว่า ’น่าห่วง“ ซึ่งก็มีทั้งปัญหาที่เกิดจากผู้ใหญ่ และที่เกิดจากเด็กเอง
โดยที่การตระหนักในเรื่องนี้ยังมีไม่มากพอ!!!
ทั้งนี้ จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยด้วยการตรวจร่างกาย ครั้งล่าสุด ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสำรวจสุขภาพประชากรไทย (สสท.) หน่วยงานหนึ่งของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) โดยทำการสุ่มประชากรจากฐานทะเบียนราษฎรของกระทรวงมหาดไทย จำนวนประมาณ 20,000 ราย จากทุกภาคของประเทศไทย เพื่อเป็นกลุ่มตัวอย่าง นี่ก็ฉายภาพ “ปัญหาความไม่ปลอดภัยของเด็ก” ได้อย่างมาก
ยกตัวอย่างที่เกี่ยวกับ ’มอเตอร์ไซค์“ ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงการขี่ซิ่งขี่แข่งหรือการเป็นเด็กแว้น เอาแค่การขับขี่ธรรมดา กับประเด็นความไม่ปลอดภัยของเด็กก็มีความเสี่ยงไม่น้อยแล้ว ซึ่งจากรายงานการสำรวจ หัวข้อ ส่องสถานการณ์ “นักบิดรุ่นกระเตาะ” พบว่า... สถานการณ์เรื่องนี้ไม่เพียงแค่น่าเป็นห่วง แต่ถึงขั้น “น่าวิตก!!”
เด็กวัย 10-14 ปี ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ครึ่งหนึ่งขับขี่มอเตอร์ไซค์หรือจักรยานยนต์เอง ทั้งที่อายุยังไม่ถึงวัยทำใบขับขี่ได้ เด็กอายุน้อยที่สุดที่เริ่มขับขี่เองคือ 7 ปี สำหรับเพศชาย และ 8 ปี สำหรับเพศหญิง ส่วนอายุเฉลี่ยที่เริ่มขับขี่เองคือ 11 ปี เหมือนกันทั้งเด็กชายและเด็กหญิง โดยเพศชายขับขี่รถจักรยานยนต์มากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย ขณะที่เด็กนอกเขตเทศบาลมีการขับขี่รถจักรยานยนต์มากกว่าเด็กในเขตเทศบาล
ที่ยิ่งน่าวิตกคือ เด็กไทยยังเมิน “หมวกกันน็อก” โดยในช่วงการสำรวจ ใน 1 เดือน พบว่า... เด็กที่ขับขี่จักรยานยนต์เอง ร้อยละ 65 ไม่เคยสวมหมวกกันน็อกหรือหมวกนิรภัย และอีกส่วนหนึ่งสวมแค่บางครั้ง โดยมีเพียงร้อยละ 4.5 ที่สวมทุกครั้ง ขณะที่เด็กซึ่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานยนต์คนอื่นโดยไม่ได้ขับขี่เอง ก็มีถึงร้อยละ 70.4 ที่ไม่เคยสวมหมวกกันน็อกหรือหมวกนิรภัยขณะซ้อนท้าย ส่วนที่สวมทุกครั้งมีเพียงร้อยละ 5.6
นี่ก็ตัวอย่างหนึ่งที่เด็กไม่ปลอดภัย...ต่อให้ไม่ใช่เด็กแว้น
ทั้งนี้ หัวข้อการสำรวจ 5 มหันตภัย ทำเด็กไทย ’นอนโรงพยาบาล“ นี่ก็น่าคิด โดยจากการประมวลข้อมูลการบาดเจ็บของเด็กไทย พบสาเหตุ 5 อันดับแรกของการบาดเจ็บรุนแรงที่ทำให้เด็กไทยวัย 1-14 ปี ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ได้แก่... พลัดตกหกล้ม, อุบัติเหตุจราจร, ของมีคมบาด, จมน้ำ, ถูกทำร้าย
สาเหตุการบาดเจ็บรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ถ้าเป็นเด็กอายุ 1-5 ปี และ 6-9 ปี อันดับแรกคือ พลัดตกหกล้ม รองลงมาคือ อุบัติเหตุจราจร และถูกของมีคมบาด ส่วน เด็กอายุ 10-14 ปี สาเหตุที่ทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาล อันดับแรกคือ อุบัติเหตุจราจร รองลงมาคือ พลัดตกหกล้ม และถูกของมีคมบาด
และก็มีข้อมูลที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งคือ สาเหตุการบาดเจ็บรุนแรงที่เกิดกับเด็กจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ โดยอุบัติเหตุจราจรรุนแรงจะเกิดมากในเขตและนอกเขตเทศบาลใกล้เคียงกัน และพบในภาคเหนือมากที่สุด พลัดตกหกล้มที่รุนแรง มักเกิดในเขตและนอกเขตเทศบาลใกล้เคียงกัน และพบในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด ส่วนการถูกของมีคมบาด พบนอกเขตมากกว่าในเขต และพบมากที่สุดในภาคใต้
ในวัยเรียน ในโรงเรียน ’ปัญหาความไม่ปลอดภัยของเด็ก“ ก็เกิดได้ ซึ่งการสำรวจหัวข้อ วัยเรียนในวงล้อมความรุนแรง สำรวจพฤติกรรมความรุนแรงในโรงเรียนและชุมชน ในเด็กอายุ 6-14 ปี พบว่า...เด็กวัยแค่นี้ก็มีการพกอาวุธ โดยเด็กชายเคยพกพาอาวุธมากกว่าเด็กหญิงสองเท่า เด็กในภาคเหนือพกพาอาวุธสูงสุด รองลงมาคือในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ ภาคใต้ ตามลำดับ และเมื่อดูที่การเคย มีเรื่องชกต่อยหรือต่อสู้กันในโรงเรียน เด็กอายุ 6-9 ปี เคยร้อยละ 20.1 อายุ 10-14 ปี เคยร้อยละ 24.5 ที่น่าตกใจคือ เด็กอายุ 10-14 ปี ร้อยละ 2.8 เคยโดนทำร้ายหรือทำให้บาดเจ็บด้วยอาวุธในโรงเรียน!!
เมื่อสำรวจเด็กอายุ 10-14 ปี โดยยึดโยงกับการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ ก็พบว่า... เด็กที่มีประวัติการดื่มและสูบมีอัตราการพกพาอาวุธสูงกว่าเด็กที่ไม่เคย ในรอบ 12 เดือนเด็กที่มีประวัติการดื่มและสูบเคยผ่านเหตุชกต่อยตบตีสูงกว่าเด็กที่ไม่เคยอย่างมาก และเด็กวัย 10-14 ปี ที่มีประวัติการดื่มหรือสูบบุหรี่ในรอบ 12 เดือน เคยโดนทำร้ายหรือถูกทำให้บาดเจ็บด้วยอาวุธ เช่น ปืน มีด ไม้ สนับมือ สูงกว่าเด็กที่ไม่เคยดื่มและสูบ ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า เด็กที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่มีโอกาสเผชิญความรุนแรงมาก และก็อาจเกี่ยวพันไปถึงปัญหาเด็กกรณี “ล่วงละเมิดทางเพศ” ด้วย ทั้งการ เป็นเหยื่อ และเป็นผู้กระทำ
ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ชัดถึง ’ความไม่ปลอดภัยของเด็ก“
แต่ก็เป็นความไม่ปลอดภัยที่ ’สามารถป้องกันได้“
โดย ’ผู้ใหญ่ต้องใส่ใจล้อมคอกก่อนวัวหาย