ธรรม มนุษย์
เชื่อว่ามนุษย์แทบทุกคนค่ะ ล้วนอยากให้ตนมีชีวิตที่ดี มีความสุข
ซึ่งคำว่า “ชีวิตที่มีดีและความสุข” อาจหมายถึงการได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีปัจจัยต่างๆพร้อมมูล มีคนรัก มีเกียรติยศ
หากในทางธรรม ชีวิตที่ดีของมนุษย์ คือ การที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมโดยสันติ พัฒนาความสามารถของตนตามศักยภาพจนถึงจุดสูงสุด จนทำให้พบความสุขที่แท้จริงและถาวร มีความเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
มนุษย์เราต่างจากสัตว์อื่นก็ตรงนี้แหละตรงที่เราสามารถพัฒนาได้
แต่มนุษย์มักเรียกตนเองว่า “ ปุถุชน” อันแปลว่า “ คนหนา ” เพราะยังไม่ได้เริ่มต้นการพัฒนาด้วยธรรม และมนุษย์จะไม่เริ่มต้นการพัฒนา หรือการเดินทางออกจากการเป็นปุถุชนเลย หากยังไม่มีความต้องการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต
เมื่อมีความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิต สิ่งอื่นๆจึงจะตามมา
มีความเข้าใจผิดอยู่หลายอย่างอันเป็นอุปสรรคในการศึกษาพระธรรมเช่น เข้าใจว่าความต้องการ หรือความอยาก เป็นตัณหาไปเสียหมด ถ้าจะปฏิบัติธรรม ต้องลดความอยาก
หากในความเป็นจริง คำว่าฉันทะ ที่แปลว่าความอยาก แบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ ตัณหาฉันทะ ( *หน้า ๒๕ )แต่มักถูกเรียกสั้นๆว่าตัณหา อันเป็นความอยากที่เจือด้วยความไม่รู้ เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ และกุศลฉันทะ หรือ ธรรมฉันทะ แต่ถูกเรียกสั้นๆว่า ฉันทะ ซึ่งเป็นความอยากที่สัมพันธ์กับความรู้ อันนำไปสู่การพัฒนาเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
การเกิดกุศลฉันทะ จึงไม่ใช่การเกิดของกิเลสตัณหา หากเป็นการเกิดความต้องการที่นำไปสู่การเรียนรู้ สู่การพัฒนาทั้งด้านคุณภาพชีวิต และคุณภาพจิตใจ
หรือเข้าใจผิดว่า “การปฏิบัติธรรม” คือการนั่งบำเพ็ญสมาธิ ซึ่งเป็นการมองในความหมายที่แคบเข้า เพราะในความเป็นจริง “การปฏิบัติธรรมนี้ เป็นเรื่องที่กว้างมาก หมายถึงการนำเอาธรรมมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต หรือการทำกิจ ทำงาน ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ทำทุกเรื่องให้ถูกต้อง ให้ดี ให้เกิดผลเป็นประโยชน์นั่นเอง ” ( *หน้า ๗ )
“ เช่น เล่าเรียนโดยมี อิทธิบาท ๔ มีฉันทะ พอใจรักในการเรียน มีวิริยะ มีความเพียร ใจสู้ มีจิตตะ เอาใจใส่ รับผิดชอบ มีวิมังสา คอยไตร่ตรอง ตรวจสอบ ทดสอบ ทดลองให้ได้ผลดียิ่งขึ้นไป อย่างนี้ก็เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ” ( * หน้า ๖ )
ความอยาก หรือฉันทะ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง และหากมนุษย์ต้องการพัฒนาตนโดยธรรม เมื่อเกิด กุศลฉันทะ ขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ต้องตามมาคือ ตถาคตโพธิสัทธา หรือมีความศรัทธาในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เคยเป็นคนธรรมดามาก่อน แต่เพราะปัญญา ทำให้พระองค์กลายเป็นพระพุทธเจ้า หรือก็คือ เชื่อมั่นในศักยภาพในการพัฒนาของมนุษย์ เชื่อว่ามนุษย์สามารถพัฒนาจนถึงจุดสูงสุดได้ ( * หน้า ๔๕ )
เมื่อต้องการพัฒนาตน มีความเชื่อแล้ว จึงเกิดกระบวนการที่เรียกว่า บุพนิมิต ๗ ประการตามมา นั่นคือ
ออกหาแหล่งความรู้ หรือครูผู้สอน ( กัลยาณมิตตตา)
ปรับปรุงพฤติกรรมเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาต่อสังคม หรือเพื่อไม่ให้พฤติกรรมของตนเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ( สีลสัมปทา )
สร้างแรงจูงใจในทางที่ถูก ( ฉันทสัมปทา )
เพื่อพัฒนาตนให้เต็มศักยภาพ ( อัตตสัมปทา )
ตามความรู้ หรือค่านิยมที่ถูกต้อง ( ทิฏฐิสัมปทา )
ด้วยความขวนขวาย ไม่ประมาท ปล่อยเวลาให้ผ่านเลย ( อัปปมาทสัมปทา )
แล้วประมวลความรู้เข้าด้วยกันด้วยตนเอง ( โยนิโสมนสิการ )
และเพราะเกิดการคิดเอง คิดเป็นบนพื้นฐานความรู้ขึ้นแล้ว จึงก่อให้เกิด สัมมาทิฏฐิ หรือทัศนคติที่ถูกต้อง อันเป็นจุดเริ่มต้นของ ทาง หรือ มรรค
แล้วเราก็พร้อมจะก้าวสู่ทางหรือมรรค ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือแนวทางสายกลาง เพื่อการพัฒนาพฤติกรรมและจิตใจ เปลี่ยนแปลงเราจากปุถุชนคนหนา เป็นกัลยาณปุถุชน อันเป็นคนดีของสังคม และสามารถสร้างประโยชน์แก่สังคมต่อไป
หรืออาจพัฒนาจนสู่อริยบุคคลขั้นต่างๆไปเลยก็ได้