ReadyPlanet.com
dot dot
dot

dot
ตราครุฑ




การบวช

การบวช การบวชในศาสนานี้เป็นกิจสำคัญมาก ชาวไทยนับถือพุทธเจ้าเฮาแม่นดี เข้าบวชได้รู้ระยอมพระธัมโม รู้จักทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว บอกมีเอาไว้ ทั้งเป็นการใช้หนี้บุญคุณพ่อแม่ คุณท่านมีมากล้นเฮาได้เกิดมา คำปะวะชะนั้นคือการเว้นขาด จากกามคุณรบเร้าทำให้เสื่อมเสีย รักษาศีล ๒๒๗ ข้อระวังใจหลายอย่าง มีสังรวมระวังต่างจากฆราวาสแท้ บุญล้ำมากหลาย การบวชนั้นมีชื่อเป็นสอง คือเป็นสายเณรก็ว่าบรรพชาแท้ ถ้าเป็นพระภิกษุนั้นเรียกว่าอุปสมบท จัดเป็น ๓ อุปสมบทกล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อพ้นทุกข์โดยชอบเถิด เรียกเอาได้เอหิภิกขุอุปสัมปทาตามเหตุ ๒. พระสาวกมีสิทธิ์บวชให้บาลีเว้าว่าติสรณคมนูปสัมปะทา ให้วาจาบทไว้เป็นสำคัญในการบวชว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ๓. พระภิกษุ ๕ รูปได้ประชุมพร้อมพร่ำกัน องค์หนึ่งนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ องค์ ๒-๓ เป็นกรรมวาจาสวดตาม ๓ ครั้ง รวมทั้งสรณาคมด้วยจัดมาเป็น ๔ เรียกว่า ญัติติจจตุตฺถกรรมวาจาบอกมีเอาไว้ สมัยก่อนพุ้นบวชด้วยศรัทธาธรรม มีความเลื่อมใสอย่างจริงจังแท้ คนเป็นเจ้านายคนหลายล่ำ สละสมบัติออกบวชสร้างบุญพ้นโลกคน สมัยนี้นั้นบวชเป็นธรรมเนียม ถ้าบ่เคยบรรพชาบวชเณรเถรได้ เขาว่าเป็นคนดิบคนตายแท้คือคนบ่ได้ชม ครั้นเป็นผลหมากไม้บ่มิได้ผู้ชิมแต่ว่าบางคนนั้นศรัทธาตลอดชีพ นับว่าบุญมากล้นเมื่อหน้าอยู่สวรรค์พุ้นแล้ว คนที่จะบวชได้นั้นมีอยู่หลายประการ ๑. เป็นคนสมบูรณ์แข่งขาดีพร้อม ๒. บ่เป็นคนมีหนี้มีสินล้นเกศ ๓. พ่อแม่อนุญาตให้แล้วเพียงพร้อมสู่คน ๓ มีอายุครบ ๒๐ ปีถ้วน เป็นชายเต็มขนาด ๔. บ่ได้เป็นข้าราชการแต่ได้รับอนุญาตแล้วมาได้บวชเรียน ๕. อ่านออกเขียนได้ด้วยประถอบก่อนมีวิชา ๖. บ่ติดสุรายาเมาหมู่คนบ้า ๗. บริบูรณ์ด้วยปริกขารทั้ง๘ ๘. บ่เป็นคนทุพลภาพมือไม่เหยียดบ่เป็น ๙. มีวาจาเว้าคำสมาทานได้สะดวกบ่ติดขัด พวกนี้มาได้บวชเรียนนั้นแล้ว คำว่านาค บางคนนั้นสงสัยคำว่า “นาค” เป็นคนดีแท้ๆ สังมาเอิ้นนาคหลวงมีประวัติกล่าวเว้าครั้งหนึ่งในอารามยังมีพระยานาโคบาดคำมาเพ้อ เห็นตนเจ้าองค์พุทโธดียิ่ง คิดใคร่มาบวชสร้างบุญได้ดั่งคน จิงนิมิตตนให้เป็นคนบ่ต่าง มารับไตรสรณาบวชเข้าไผรู้ว่าแต่คน วันหนึ่งนั้นพระยานาคหลับนอนเผลอ ตัวก็กลายเป็นนาคคำตามเรื่อง ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วเลยทูลพุทธบาท พระองค์จิงบอกให้สึกได้ดั่งประสงค์ เพราะเป็นคนอันประเสริฐคือมนุษย์ จิงได้ลาสิกขาล่วงลงเมืองใต้ แต่ว่าใจนาโคนั้นอาลัยแสนห่วง จิงขอใส่ชื่อไว้พอให้จือจำ ครั้นว่าไผเขาบวชได้ในศาสนาพุทธ ขอฝากนามนาโคนาคคำเอาไว้ ฝูงเอาได้ตามคำวอนเหนียว จิงบอกเป็นนาคแท้คำนี้สืบมาท่านเอย ก่อนบวช ก่อนสิบวชนั้น ๒-๓ วันปล่อยนาค เพื่อจักลาญาติพี่น้องไปสร้างก่อบุญ ทั้งเหล่ามีหนี้สินใดก็หาปล่อยชำระหนี้สินพวกนั้นอย่าข้องเดียวพ้น ชำระพวกขัดข้องขอประทานอนุญาตให้เรียบร้อยสบายได้ดั่งใจ อันว่ากองบวชนั้นมีพระพุทธานุญาต มีบริกขาร ๘ ไว้ประจำเจ้านาคหลวงคือผ้านุ่ง ผ้าห่มไว้ตามระเบียบวินัยสงฆ์ มีบาตร มีดโกน เข็ม ประคตเอว ผ้ากรองน้ำฝูงนี้ก็ให้มี <<บริกขาร บริกขารอื่นที่จำเป็นนั้นมีหลายอันยังมาก เช่นว่า ร่มรองเท้าฝูงเสื่อปูนอน ทั้งฝูงบริวารหมู่ถง กาน้ำ ของจำเป็นเดินดั้นธุดงค์เข้าป่า ของพวกจัดหามาไว้ได้ดีแท้สะดวกนั้นแล้ว ทำบ้านใดนั้นก็นิมนต์พระไปสวด ฟังเทศน์พระสงฆ์เจ้าต่าวคืน รุ่งขึ้นเช้าเลี้ยงพระสามเณร แล้วจิงยอกองแหนแห่ไปกลางบ้าน เอาคนพีเป็น “นาโค” ขึ้นคานหามเหาะแหน ตีทั้งกลองและฆ้องสนุกเล่นม่วนยิน เอาเตียงนอนของนวโกภิกษุใหม่ คนทั้งหลายยกขึ้นเดินย้ายค่อยไปเถิงที่แล้วจิงสิข่อยวางลง จักทำพิธีสู่ขวัญนาคคำดังก้อง เสร็จจากทำขวัญแล้วนิมนต์สงฆ์มาสวดมนต์เย็นค่ำแล้วเซายั้งฟักนอน กลางคืนนั้นมีดนตรีหลายอย่าง หรือสิเอาหนัง ตลุงมาแลปลิ้นโฮเล่นก็ม่วนดีเถิงตอนเช้าพร้อมเลี้ยงพระทั้งอาหาร บริวารของแถมธูปเทียนเงินพร้อม แห่นาค>> การแห่นั้นไผมีศรัทธามาก จะเอาช้างและม้าประดับปองคล่องคือ หรือจักไปทางน้ำเรือแพก็ตามวาด ประดับแต่งล้องามล้นแปลกตาแลดูพุ้นสวยงามเถิงขนาด ส่วนว่าตนนาคนั้นก็นุ่งเสื้อผ้าขาวล้วนเป่งสีโกนทั้งหัวและคิ้วบ่รุงรังจักอย่าง มองดูข้างพุ้นนี้คือเข่าสู่สวรรค์นั่นแล้ว การแห่นั้นเอารอบศาลาวัดสักหนเดียวก็ว่าดีพอแล้ว <<การสู่ขวัญนาค เมื่อว่าแห่เถิงแล้วเข้าศาลาพักจอด จัดภาณ์ขวัญตั้งไว้เป็นดั่นดีงาม ญาติพี่น้องวงร่อนภาณ์ขวัญ ทั้งบิดามารดาบ่าวสาวมาพร้อม พราหมณาเจ้าถือหนังสือเอาอาน เป็นหนังสือก้อบๆ ยอขึ้นยกมือว่าศรีมือนี้เป็นวันดี เป็นวันดิถีอนุตโชค เวลาจะบวชนาค ก่อนจักเข้าโบสถ์นั้นพ่อแม่จูงแขน พ่อจูงจับมือซ้ายแม่เหล่าจับมือขวา เป็นแสดงว่าแม่ถือพาคาท้อง ถ้าบ่มีพ่อแม่นั้นญาติผู้ใหญ่พาจูงเดินเข้าในสีมาโบสถ์สถานเขายั้ง ส่วนว่านาคผู้นั้นถือดอกมาลา ธูปเทียนครบคู่มือถือไหว้ นำไปไหว้ฐานธรรมพุทธรูปก่อนจะรับล้าไตรนั้นถืกดี จักต้องไหว้พ่อแม่ ๓ ทีจิงได้ยอมือรับหมู่ไตรจีวรได้ แล้วจิงอุ้บผ้าได้เข้าสู่กลางสงฆ์ กล่าวคำขอบรรพชาต่ออุปัชฌาย์เจ้า เสร็จคำบรรพชาแล้วกลับหลังเดินออกมาครองแผ่นผ้าจีวรได้อย่างดี จัดว่าเป็นสามเณรแล้วถือบรรพชาเตรียมบวช คราวนี้อุ้มบาตรเดินเข้ากราบถวายต่อตรงหน้าอุปัชฌาย์อย่าให้ห่าง พระอุปัชฌาย์จักจับจับมาตรีบอกให้ทั้งซ้ำยกยกมือว่า อยันเตปัตโตนี้บาตรของท่านหรือ ทางผู้เป็นนาคนั้นก็ตอบว่าอามะภันเตแม่นละพระเจ้าข่า แล้วเหล่ามือขึ้นทั้งจีวรผ้านุ่ง นาคก็ตอบว่าแม่นของข้าน้อยจริงแท้แน่นอน ค้อมว่าแล้วถอยจากอุปัชฌาย์ ไปยืนรอกรรมวาจารโจทก์ถามอันตรายได้ เถิงสามเทียวจตุตถกรรมเป็น๔ จัดเป็นพระภิกษุแท้ๆ ถือว่าไว้สูง แล้วพระอุปัชฌาย์ให้อนุศาสน์คำสอนเป็นกาลจนบรรพชาบวชเป็นภิกษุแล้ว อุปัชฌาย์บอกอนุศาสน์ ครั้นเป็นภิกษุแล้วอุปัชฌาย์เตือนบอก เรียกว่าอนุศาสน์ต่อท้ายสอนไว้บอกทาง กิจที่ภิกษุควรมี ๔ คือ อันหนึ่งนั้นคือห่มผ้าบังสุกุลอันที่สองคือเทียวบิณฑบาต นั้นได้สู่วัน อันที่สามนั่นคืออาศัยโคนไม้ลำเนาแนวป่า อันที่๔ บ่รังเกียจยาดองน้ำมูตรเนานั้นได้สู่ยาม อันว่ากิจบ่ควรทำนั้นคือการบ่มีชอบ คือเสพกามคุณพวกนี้ถือร้ายว่าบ่ดี อันที่สองขโมยของของท่าน อันที่สามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตพวกนี้พระองค์ห้ามอย่ากระทำ อันที่๔ นั้นแสดงอวดคุณธรรม ที่บ่มีในตนอย่าเอามาอ้าง อนุศาสน์๘ ประการนี้ตนชื่อภิกษุสงฆ์ ถ้าเป็นคนขัดขืนบ่ปฏิบัติตามถือว่าเป็นคนบ่ดีจริงแท้ การกรวดน้ำอุทิศแผ่บุญกุศล>> พอพระอุปัชฌาย์อนุศาสน์เสร็จสมแล้ว ภิกษุใหม่ถอยไป ออกจากท่ามกลางสงฆ์นั่งรอถวายให้ ญาติโยมทั้งหลายทานทอดเป็นอัฏฐะบริขาร พวกตั้นถวายให้แก่สงฆ์ ถ้าเป็นชายรับได้ด้วยมือเปล่าแบมือ ถ้าเป็นหญิงให้มีแพรพรรณรับปูเอาไว้ อย่าหลงไปจับต้องคนหญิงศีลขาด พระบวชใหม่จงระวังให้ได้กรรมต้องเมื่อลนนั่นแล้ว แล้วก็เตรียมกรวดน้ำขึ้นโต้กมาฮอง เอานิ้วมือลงฮดพร่ำวาจาเว้า ขออธิษฐานญาติกาพ่อแม่ บุญบวชเรียนห่านี้บุญล้ำโลกคนแด่ให้ท่อญ เมื่อเถิงสามวันแล้วทำบุญฉลองพระใหม่ ทำพิธีสู่ขวัญเรียกเอิ้น ให้ยืนมั่นหมื่นปี ให้เป็นพระเป็นเจ้าอยู่ตลอดวันตาย ใจของนวกะภิกษุจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นจิตเป็นสมาธิมั่นในธรรมเป็นแก่น มีความอดทนต่อสู้ตามพระธรรมเจ้าสั่งสอนนั่นแหล่ว การลาสิกขา ในสมัยโบราณนั้นเบื่อหน่ายทางกาย เห็นโลกาโลกคนฮนฮ้อนจิงได้บรรพชาเข้าในธรรมพุทธบาท ต่อมาเถิง ๒๕๐๐ ถือไว้ต่างกัน ถือเป็นธรรมเนียมไว้ประเพณีต้องบวช แล้วจิงมีครอบครัวขึ้นได้ครองบ้านนั่งเมือง ผู้บวชนั้นทนอยู่บ่มีไหวปฏิบัติตามธรรมฝืดคอแฮงน้อย จิงได้ลาสิกขาได้หนีไปเป็นฆราวาส การลาสิกขานั้นมีพิธีเป็นแบบ หาดอกไม้ธูปเทียนไปทำวัตรอุปัชฌาย์ผู้ทรงคุณไว้ เถิงวันแล้วลงสถานจัดแจง พระผู้ลาสิกขาต้องแสดงอาบัติก่อนแล้ว เลยสวดอดีตปัจจเจกขณะไว้พอหนึ่งให้จบลง แล้วจิงจำคำลาสิกขาว่า สิกขัง ปัจจักชามิ คีหิติมัง ธาเรตะ ข้าพเจ้าขอลาสิกขา ขอท่านทั้งหลายจงจำคำข้าพเจ้าว่าเป็นคฤหัสถ์ ณ บัดนี้ว่าสามจบ แต่นั่นองค์อุปัชฌาย์เจ้ามือสังฌาฏิออก คนลาสิกขาก็ถอยออกแล้วไปสรวมผ้าแน่นขาว ก็จิงกลับหาเจ้าอุปัชฌาย์โดยด่วน ว่าคำสมานศีลและพระรัตนะตรัยแล้วรอนั่งรับพร ทั้งกล่าวคำปฏิญาณตนได้เป็นพุทธมามกะ ว่า อหังพุทธัญจ ธัมมัญจะ สรณัง สาธุ ภันเต ภิกขุ สังโฆ พุทธมามโกติ มังธาเรถ พระสงฆ์อันดับเจ้าวาจารับว่า สาธุ พรัอมกันพักเขา สงฆะเจ้าสวดเหล่าสวดชะยันโตให้เถิง ๓ จบเป็นธรรมเนียมบอกมีเอาไว้ ส่วนสามเณรนั้นมีพิธีเอาแบบอย่าง จักได้รับความสุขยิ่งล้ำไปหน้าก็หากดีนั่นแล้ว








เว็บไซต์ www.legendnews.net ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการคัดลอกหรือเปลี่ยนเป็นชื่อเว็บของท่าน