ReadyPlanet.com
dot dot
dot

dot
ตราครุฑ




สารเคมีในสมอง….สาเหตุแห่งความทุกข์ระทม

 

สารเคมีในสมอง….สาเหตุแห่งความทุกข์ระทม

 

 
 

ข้าพเจ้าเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว มีพี่สาว 2 คน และมีพี่ชาย 1 คน พี่สาวคนโตอายุห่างจากข้าพเจ้า 8 ปี ส่วนพี่สาวคนก่อนข้าพเจ้าอายุห่างจากข้าพเจ้า 4 ปี คุณพ่อเป็นข้าราชการที่ต้องเดินทางไปทำงานตามจังหวัดต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ นาน ๆ ครั้ง จึงได้กลับบ้านมาอยู่กับครอบครัวเป็นครั้งคราว ฐานะของครอบครัวไม่ถึงกับลำบาก แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย คุณแม่เป็นแม่บ้านที่สามารถบริหารจัดการด้านการเงินและดูแลพวกเราให้ได้เรียนหนังสือจนจบชั้นสูงสุดตามความสามารถของแต่ละคน สำหรับตัวข้าพเจ้าเองถึงแม้คุณพ่อจะไม่ค่อยอยู่ด้วย แต่ก็มีคุณอาผู้ชายถึง 2 คน ซึ่งพักอาศัยอยู่กับครอบครัวของข้าพเจ้าในตอนนั้น ช่วยดูแล พาไปเที่ยว และซื้อของเล่นให้ จึงดูเหมือนว่าข้าพเจ้าน่าจะได้รับความอบอุ่นทีเดียว แต่เวลาที่คุณพ่อกลับมาบ้านทุกครั้ง ข้าพเจ้าจำได้ว่าจะรู้สึกดีใจและมีความสุขมาก เพราะคุณพ่อจะพาไปเที่ยวและให้เงินใช้เป็นพิเศษ คุณพ่อจะไม่เข้มงวดเหมือนกับคุณแม่ซึ่งเป็นคนค่อนข้างดุ เข้มงวด เจ้าระเบียบ จึงทำให้ลูก ๆ ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ หรือกล้าปรึกษาหารือในทุกเรื่อง

บุคลิกภาพโดยทั่วไปของข้าพเจ้าเป็นคนพูดน้อย ยกเว้นกับคนที่สนิทจริงๆ จึงจะพูดคุยด้วย และมักจะไม่เข้าไปทำความรู้จักกับใครก่อน เป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองมากนัก แต่ในบางครั้งก็มีความเด็ดเดี่ยวอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังเป็นคนมีระเบียบแบบแผนซึ่งน่าจะซึมซับมาจากคุณแม่ ในขณะเดียวกันก็เป็นคนโรแมนติก ช่างคิดช่างฝัน มีความเป็นศิลปินอยู่บ้างซึ่งส่วนนี้น่าจะซึมซับมาจากคุณพ่อนั่นเอง ข้าพเจ้ามีนิสัยติดคนที่เข้ามาสนิทสนมและดีกับข้าพเจ้าเสมอ แต่ในที่สุดทุกคนก็ต้องจากไปด้วยต่างแยกย้ายกันไปเมื่อถึงเวลาที่ต้องไปอยู่ที่อื่นบ้าง หรือไปเรียนที่อื่นบ้าง ช่วงที่ไม่มีใครเป็นที่ยึดเหนี่ยวเป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าจะสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมาถึง 4-5 คน เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีเพื่อนหลาย ๆ คน ทำให้อบอุ่นดี และเพื่อน ๆ เหล่านั้นก็จะหายไป เมื่อข้าพเจ้ามีเพื่อนในโลกแห่งความเป็นจริงมาแทนที่

เมื่อข้าพเจ้าเริ่มทำงานก็ทำให้มีเพื่อนมากขึ้น และมีกิจกรรมทำมากขึ้นด้วย ช่วงเวลานี้ข้าพเจ้าไม่ได้ติดใครเป็นพิเศษ จะใช้เวลากับการอ่านหนังสือ ท่องเที่ยว เล่นกีฬากับเพื่อนฝูงในกลุ่ม จนถึงปัจจุบันนี้ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่สนิท หรือจะเรียกว่าเป็นกัลยาณมิตรก็ได้อยู่หลายคนทีเดียว คบหากันมาเกือบ 30 ปีแล้ว จะว่าไปแล้วชีวิตของข้าพเจ้านับว่ามีความสุขทีเดียว ถึงแม้จะมีเรื่องให้ทุกข์ใจบ้างก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินกว่ากำลังกายและกำลังใจของเราที่จะผ่านพ้นไปได้ ปัจจุบันข้าพเจ้าแต่งงานมีครอบครัวแล้ว มีสามีที่แสนดี และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง นับเป็นครอบครัวที่อบอุ่นถึงแม้จะไม่มีลูกก็ตาม ช่วงนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ทำงานประจำแล้ว แต่ยังคงรับงานเป็นโครงการมาทำอยู่บ้าง ทำให้ข้าพเจ้ามีเวลาว่างมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเหงาแต่อย่างใด

จวบจนเมื่อต้นปี พ.ศ. 2551 เป็นปีที่ข้าพเจ้ากลับไปเรียนดนตรี เพื่อสานฝันในวัยเยาว์
ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่สามีของข้าพเจ้าตั้งใจจะบวชเป็นเวลา 1 เดือนให้คุณแม่ของเขาซึ่งอายุมากแล้ว ช่วงนั้นเราจึงยุ่งอยู่กับการตระเตรียมเรื่องเหล่านี้ และเป็นช่วงที่ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นสุขไปด้วยที่สามีจะทำสิ่งที่ดีงามให้คุณแม่ หลังจากวันที่ข้าพเจ้าไปส่งสามีที่วัดเพื่อถือศีลก่อนบวช 1 สัปดาห์ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกเหงา เศร้า เก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือ ฟังเพลง และอ่านสมุดบันทึกของสามีที่เขียนเรื่องราวเมื่อครั้งที่เรารู้จักกันใหม่ ๆ จนตัดสินใจแต่งงานกัน ทั้ง ๆ ที่โดยปกติเราสองคนก็ไม่ได้เจอกันทุกวัน เพราะสามีของข้าพเจ้าทำงานอยู่ต่างจังหวัด เราจึงอยู่ด้วยกันเฉพาะวันหยุดเท่านั้น แต่เรามักโทรศัพท์ถึงกันทุกวัน แม้บางวันจะพูดแค่เพียงว่า “จะเข้านอนแล้วนะ” แค่นั้นเอง

แต่ครั้งนี้เราเหมือนอยู่กันคนละสถานะ ไม่สามารถติดต่อกันได้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเหงาเศร้าเหลือเกิน และไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าเริ่มอยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือยัง หลังจากที่สามีบวชจนสึกออกมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังคงมีชีวิตปกติดีอยู่ จนกระทั่งวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่ข้าพเจ้าไปเรียนดนตรีตามปกติหลังจากหมดชั่วโมงเรียนวันนั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกผิดปกติขึ้นอย่างฉับพลันทันใด ข้าพเจ้าไม่อยากกลับบ้านและมีอาการอยากอยู่กับครูอีก นับแต่นั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกเหงาเศร้า คิดถึงโหยหาอยากพบครูตลอดสัปดาห์ เฝ้ารอคอยให้ถึงวันที่จะไปเรียนดนตรีอีกครั้ง

ในระหว่างสัปดาห์ ตื่นเช้ามาแต่ละวันจะรู้สึกเหงาเศร้าคิดถึงครูตลอดเวลา บางวันมีความรู้สึกเจ็บปวดมากจนร้องไห้ออกมาแทบขาดใจทีเดียว ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจของข้าพเจ้ากันแน่ แต่รู้ว่ามันไม่ปกติเลยที่จะมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้น ครูมีอายุคราวลูกหลานแต่มีบุคลิกเป็นทอมบอย และก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษที่ข้าพเจ้าจะต้องหลงใหลมากขนาดนั้น นอกจากเล่นดนตรีเก่ง ข้าพเจ้ารู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแต่ยังไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง และถึงแม้ข้าพเจ้าจะมีหมายเลขโทรศัพท์ของครู แต่ช่วงนั้นข้าพเจ้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโทรศัพท์ไปหาเลย

ข้าพเจ้าได้แต่อดทนและเฝ้าตามดูอารมณ์ของตัวเองตามที่หลวงพ่อชาสอน พร้อมกับจดบันทึกอาการที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไว้ในสมุดบันทึก ในแต่ละวันข้าพเจ้าจะฟังเพลงเศร้าสลับกับการอ่านหนังสือธรรมะ นั่งจดบันทึกเนื้อเพลงที่สื่อถึงอารมณ์ความคิดถึง สลับกับธรรมะที่สอนให้ปล่อยวาง สลับไปสลับมาอยู่เช่นนี้ อาการของข้าพเจ้าจะหนักในช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ และยิ่งฝนตกก็จะยิ่งตอกย้ำความเหงาเศร้าให้ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนบางครั้งเหมือนแทบจะทนไม่ได้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่เป็นประจำก็คือ การสวดมนต์และนั่งสมาธิทุกคืน ซึ่งทำให้อารมณ์ของข้าพเจ้าผ่อนคลายลงบ้าง และทำให้แต่ละวันของข้าพเจ้าผ่านพ้นไปได้ ข้าพเจ้าเป็นอยู่เช่นนี้ 3 เดือนเต็ม โดยไม่ได้ปริปากเล่าให้ใครฟัง เพราะรู้สึกอายเกินกว่าจะบอกใคร ด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของข้าพเจ้ากันแน่

กระทั่งวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รับรู้ข้อมูลจากรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งว่าคนสูงอายุมักจะเป็นโรคซึมเศร้า จึงทำให้ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมา และเข้าไปค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ก็ได้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ ข้าพเจ้าเริ่มบอกให้สามีรับรู้ว่าข้าพเจ้าอาจเป็นโรคซึมเศร้า และสามีก็รู้จักโรคนี้มาก่อนเพราะคุณแม่ของเขาเคยเป็นมาแล้ว สามีถามว่าจะไปหาหมอไหม ซึ่งช่วงนั้นข้าพเจ้าได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรแล้วก็ทำให้มีความสุขขึ้นบ้าง จึงยังไม่อยากไปพบคุณหมอ

ข้าพเจ้าพยายามค้นหาสาเหตุต่อไปอีกว่าทำไมข้าพเจ้าถึงป่วยเป็นโรคนี้ และในเช้าวันหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่าปีนี้เป็นปีที่ข้าพเจ้าหมดประจำเดือน ข้าพเจ้าจึงไปค้นหนังสือเกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือนมาอ่าน จึงได้รู้ว่าวัยนี้อาจมีภาวะซึมเศร้าและปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งข้าพเจ้ามีอาการทั้งสองอย่างนี้ร่วมกัน ช่วงที่มีอาการร้องไห้จะปวดกล้ามเนื้อที่ต้นแขนมากขึ้นกว่าปกติด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากที่ได้รู้สาเหตุของอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า สำหรับสาเหตุที่ข้าพเจ้าไม่ไปพบคุณหมอ เพราะเกรงว่าคุณหมอจะให้ทานฮอร์โมนทดแทน ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับผลข้างเคียงจากฮอร์โมน เนื่องจากข้าพเจ้ามีเนื้องอกที่มดลูก รวมทั้ง คุณพ่อและคุณแม่ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง

หลังจากที่ซึมเศร้าอยู่ 3 เดือน อาการของข้าพเจ้าเริ่มเปลี่ยนไป จะไม่เหงาเศร้าทุกวันและตลอดวัน แต่จะเปลี่ยนเป็นอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ช่วงอาทิตย์ที่ข้าพเจ้าเป็นปกติก็จะไม่คิดถึงหรือโหยหาครูอย่างที่เป็น แต่อาทิตย์ไหนที่มีอาการก็จะต้องโทรศัพท์ไปหา อยากพูดอยากคุยกับครู ซึ่งระยะหลังข้าพเจ้าเริ่มสร้างความสนิทสนม จนการโทรศัพท์คุยกันในระหว่างอาทิตย์กลายเป็นเรื่องปกติ ข้าพเจ้าพยายามสานสัมพันธ์กับครูทุกวิถีทาง ซึ่งนิสัยเหล่านี้ไม่ใช่นิสัยของข้าพเจ้าในยามปกติที่จะเป็นฝ่ายสร้างสัมพันธ์กับใครก่อน เมื่อข้าพเจ้าเริ่มจับอาการที่ชัดเจนได้ว่าข้าพเจ้าจะติดครูก็ต่อเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในภาวะซึมเศร้าเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เพื่อน ๆ ที่สนิทกันได้รับรู้และเพื่อเป็นการระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจของข้าพเจ้าออกไปบ้าง

ช่วงที่เพื่อน ๆ ได้รับรู้ก็จะเป็นกำลังใจ และนัดไปเที่ยวตามต่างจังหวัดด้วยกันมากขึ้น ในขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็พยายามเยียวยาตัวเองด้วยการเขียนบันทึกประจำวันอย่างละเอียด เพื่อเอาใจมาจดจ่อกับการเขียนหนังสือ จนกระทั่งวันหนึ่ง สามีเห็นข้าพเจ้าร้องไห้มาก และบ่อยขึ้น จึงให้ไปพบคุณหมอด้านจิตเวช ซึ่งข้าพเจ้าเองก็เห็นด้วยเพราะรู้สึกไม่อยากเป็นอย่างนี้อีกแล้ว เมื่อได้เห็นอารมณ์ที่แตกต่างกันว่าในภาวะที่ปกติเรามีความสุขอย่างไร และในภาวะซึมเศร้าเราเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างไร ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไปพบคุณหมอประมาณเดือนธันวาคม 2551

คุณหมอคนแรกเป็นผู้ชาย ข้าพเจ้าจึงเล่าแต่เฉพาะอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เล่าเรื่องที่ข้าพเจ้าติดครูสอนดนตรี คุณหมอให้ทานยา Lexapro วันละหนึ่งเม็ด หลังจากทานยาวันแรก ข้าพเจ้าปวดหัวอย่างมากจากผลข้างเคียงของยา แต่วันต่อ ๆ มาอาการปวดหัวก็หายไป ข้าพเจ้าทานยาได้ประมาณสองสัปดาห์ อาการแปรปรวนค่อนข้างมากคือ เวลามีความสุขก็รู้สึกสุขเหลือล้นโดยไม่มีอะไรมาทำให้สุขได้ขนาดนั้น และได้รู้สึกว่าเราไม่เห็นจะต้องเอาใจไปยึดติดกับใครเลย แต่พอมีภาวะซึมเศร้าก็ร้องไห้มากกว่าที่เคยเป็น และกลับไปโทรศัพท์คุยกับครูเหมือนเดิม สามีของข้าพเจ้าจึงอยากให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนไปพบคุณหมออีกคนซึ่งเป็นผู้ที่เคยรักษาคุณแม่ของเขา

ข้าพเจ้าได้ไปพบคุณหมอคนที่สอง และเล่าอาการให้ฟัง รวมถึงอาการติดครู แต่ยังไม่ได้เล่าละเอียดมากนัก เพราะในห้องจะมีนางพยาบาลนั่งอยู่ด้วย ทำให้ข้าพเจ้าไม่อยากเล่าอะไรทั้งหมด แต่ก็บอกว่าสามีเป็นห่วงที่ข้าพเจ้าไปติดครูซึ่งไม่ใช่เพื่อนที่คบกันมาเนิ่นนานเหมือนเพื่อนที่คบกันอยู่ คุณหมอบอกว่าสามีของข้าพเจ้าพูดถูก เพราะในช่วงที่เราอยู่ในภาวะแบบนี้ การตัดสินใจของเราจะไม่ดี คุณหมอจึงขอให้ข้าพเจ้างดโทรศัพท์หาครูและให้พบกันเฉพาะช่วงเรียนดนตรีเท่านั้น รวมทั้งปรับยาให้ทานเพียงครึ่งเม็ด ซึ่งในใจของข้าพเจ้าขณะนั้นไม่รับว่าจะทำตามที่คุณหมอบอกหรือไม่

หลังจากพบคุณหมอวันนั้น มีอะไรบางอย่างในใจเกิดขึ้นระหว่างสัปดาห์ ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไม่ไปเรียนดนตรีอีกต่อไป เพื่อความสบายใจของทุกคนที่ห่วงใย ถึงแม้จะยังมีชั่วโมงเรียนเหลืออยู่ก็ตาม ข้าพเจ้าไปบอกลาครูและบอกว่าข้าพเจ้าขอไปรักษาตัวให้หายก่อน ซึ่งในช่วงนั้นเราได้พัฒนาความสัมพันธ์ของเราว่าเราจะเป็นแม่ลูกกัน ข้าพเจ้าห่างหายไปเป็นเดือน โดยไม่มีการติดต่อใด ๆ ทั้งสิ้น ช่วงแรก ๆ ข้าพเจ้ายังร้องไห้เสียใจอยู่ แล้วก็ค่อยดีขึ้นบ้าง ถ้าช่วงไหนที่ข้าพเจ้ามีอาการคิดถึงครูและรู้สึกเหงาจะใช้การเขียนสมุดบันทึกช่วยในการเยียวยาตัวเอง

ผ่านไปหนึ่งเดือนมี SMSจากครูว่าคิดถึง ข้าพเจ้าจึงเริ่มหวั่นไหวอีกครั้ง ดังนั้น ช่วงไหนที่เริ่มรู้สึกคิดถึงครูอีก ข้าพเจ้าจะส่ง SMS ไปบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้เป็นการบีบบังคับตัวเองมากเกินไป จนมีอยู่วันหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกอาการหนักอีก และไม่อยากมีอาการอย่างนี้เลย จึงเข้าไปดูเว็บไซต์สมาคมสายใยครอบครัว ซึ่งเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งเคยแนะนำไว้หลังจากที่ทราบข่าวว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคนี้ ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้รู้จักกับคุณกุ้ง ประธานชมรมเพื่อนไบโพลาร์ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขมากขึ้นที่ได้เจอคนที่เข้าใจอาการเจ็บป่วยคล้าย ๆ กัน และข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้ป่วยคนอื่นและญาติที่มาเข้าร่วมคลินิกอารมณ์ดีในเสาร์วันหนึ่ง

หลังจากพบคุณกุ้งวันนั้น ข้าพเจ้าให้พี่ชายทำเว็บ Hi 5 ให้ข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าจะลงข้อมูลเกี่ยวกับสมาคมสายใยครอบครัว และเรื่องราวจากวารสารเพื่อนรักษ์สุขภาพจิตไปเผยแพร่ไว้ในเว็บ ในขณะเดียวกันก็ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารกับครูบ้าง ซึ่งเป็นการติดต่อที่ไม่ต้องเจอตัวกัน น่าจะเป็นอะไรที่ปลอดภัยกว่าสำหรับตัวข้าพเจ้าเอง สามีของข้าพเจ้าไม่ค่อยสบายใจนักที่เห็นข้าพเจ้าไปเข้าร่วมกิจกรรมของสมาคมสายใยครอบครัวเพราะเขารู้สึกว่าข้าพเจ้ามีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อไปเข้าร่วมสมาคมนี้แล้วเกรงว่าข้าพเจ้าจะมีอาการหนักขึ้น แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าการที่ข้าพเจ้าได้เห็นคนที่ป่วยหนักกว่า ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจดีขึ้น และการได้เจอคนที่มีความรู้สึกเดียวกับเรา ก็เหมือนได้เจอเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกัน

ข้าพเจ้าไปพบคุณหมอคนที่สองอีกครั้ง และเล่าเรื่องที่ไปเข้าร่วมกิจกรรมของสมาคมสายใยครอบครัว คุณหมอสนับสนุน และครั้งนี้ข้าพเจ้าให้คุณหมอได้คุยกับสามีด้วย เพื่อให้สามีเข้าใจอาการเจ็บป่วยของข้าพเจ้ามากขึ้น เนื่องจากสามีพยายามช่วยเหลือดูแลข้าพเจ้าก็จริงอยู่ แต่ความไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากโรคนี้ สามีจึงมักใช้คำพูดที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความกดดันมากกว่าจะรู้สึกสบายใจ หลังจากสามีได้รับฟังคำแนะนำจากคุณหมอครั้งนี้ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนดียิ่งขึ้น คุณหมอพูดว่าเราต้องช่วยกัน คุณหมอจับมือเราข้างหนึ่ง และสามีก็ช่วย จับมือเราอีกข้างหนึ่ง แล้วเราจะผ่านไปด้วยกัน

ระยะหลังข้าพเจ้ามีอาการดีขึ้นมาก ไม่ร้องไห้อีกแล้ว แต่ยังมีอาการเหงาและหดหู่ในบางวัน ข้าพเจ้ายังค้างคาใจเรื่องอาการติดครูซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไข ในที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจไปพบคุณหมอคนที่สามซึ่งก็คือคุณหมอสมรัก เพื่อที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ปิดบังอะไรอีก คุณหมอบอกว่าครูเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น จริง ๆ แล้วข้าพเจ้ามีปมอยู่ในใจมาก่อนแล้ว แต่ถูกกลบไปด้วยวัยที่เติบโตขึ้นและมีกิจกรรมให้ทำมากขึ้น แต่ ณ วันหนึ่งครูมาดึงปมที่อยู่ในใจให้ผุดออกมา คุณหมอให้ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณเขาในใจด้วย หลังจากที่พบคุณหมอวันนั้น ข้าพเจ้ากลับมาวิเคราะห์ปมในใจของข้าพเจ้าด้วยตัวเอง ได้ข้อสรุปว่าเพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับคุณพ่ออย่างเต็มอิ่มในวัยเด็ก และคุณแม่เป็นคนดุจึงไม่ใช่คนที่ลูกจะใกล้ชิดได้ ขณะเดียวกันพี่ ๆ มีอายุห่างจากข้าพเจ้า จึงมีช่วงที่ข้าพเจ้าไม่สามารถร่วมเล่นกับพวกเขาได้เพราะยังเด็กเกินไปจึงอาจเป็นสาเหตุให้ข้าพเจ้ามีความเหงาอยู่ในใจลึก ๆ และทำให้ติดคนที่มีท่าทีดีกับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าได้ไปพบคุณหมอสมรักอีกเป็นครั้งที่สองและได้เล่าถึงผลการวิเคราะห์ตัวเองให้คุณหมอฟังซึ่งคุณหมอก็บอกว่าข้าพเจ้าวิเคราะห์ถูกแล้ว ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ที่ข้าพเจ้ามีต่อครูว่าไม่ใช่ตัวตนของครูจริง ๆ ที่ข้าพเจ้าไปยึดติดในช่วงที่ข้าพเจ้ามีอารมณ์ถดถอยจากภาวะซึมเศร้า แต่เป็นคนที่ข้าพเจ้าสร้างภาพขึ้นจากครูอีกที และหลังจากที่ได้พบคุณหมอสมรักเป็นครั้งที่สาม คุณหมอบอกว่าคนที่ข้าพเจ้ายึดติดจริง ๆ นั้นมีตัวตนอยู่จริงและเป็นคนที่มีความสำคัญในชีวิตของข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้ากลับไปทบทวนดูซึ่งหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทบทวนความสัมพันธ์และความรู้สึกที่ข้าพเจ้ามีต่อคุณพ่อแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่าคุณพ่อของข้าพเจ้านี่แหละคือพระเอกในดวงใจและเป็นคนที่ข้าพเจ้าโหยหามาตลอดชีวิต ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจที่ไปสานสัมพันธ์ที่ไม่เป็นจริงกับครู ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารตัวเองที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่เสียใจที่ได้ป่วยเป็นโรคนี้ เพราะทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักโรคนี้มากขึ้น ได้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าว่าเวลามีอาการเหงา เศร้า อยากร้องไห้จะมีความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้นด้วย ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินความรู้สึกตรงนี้กระมังที่ทำให้ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้มักจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ข้าพเจ้ายังโชคดีที่ไปไม่ถึงความรู้สึกตรงนั้น นอกจากนี้ การเจ็บป่วยของข้าพเจ้ายังเปิดโอกาสให้คนรอบข้างได้เรียนรู้ไปพร้อมกับข้าพเจ้า ซึ่งจะทำให้โรคทางจิตเวชเป็นที่รู้จักมากขึ้น แม้เพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ รอบตัวข้าพเจ้าก็ตาม และสักวันหนึ่งข้าพเจ้าคงจะได้กล่าวคำขอโทษครูด้วยตัวของข้าพเจ้าเอง เพื่อให้เราสองคนไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน และหากจะสร้างสัมพันธ์ฉันท์มิตรกันต่อไป ก็ควรเป็นตัวตนที่แท้จริงของทั้งสองฝ่าย

ข้าพเจ้าขอขอบคุณโรคซึมเศร้าที่ช่วยให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เรื่องราวมากมาย ได้มีโอกาสฝึกฝนตามดูจิตตัวเอง ขอขอบคุณสามี พี่ ๆ และเพื่อน ๆ ที่เป็นกำลังใจให้เสมอมา และขอบคุณคุณหมอทุกท่านที่ช่วยให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจตัวเองและมีอาการดีขึ้น ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามองโลกอย่างเข้าใจมากขึ้นและบอกเพื่อน ๆ ว่า หากเห็นใครทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล อย่ารีบด่วนตัดสินว่าคนนั้นทำไม่ดี หรือเป็นคนไม่ดี เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุและผลทั้งสิ้น บางทีอาจเกิดจากอาการเจ็บป่วยทางอารมณ์ที่คน ๆ นั้นเองก็ไม่รู้ตัว หรือบางทีอาจเกิดจากสภาพแวดล้อมที่สร้างปมฝังลึกอยู่ในใจของคน ๆ นั้นมาเนิ่นนานแล้วก็ได้ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวว่า “ทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับทุกสิ่งก็ดับ” นั่นเอง




คำสอนพุทธองค์ 84000 ข้อ พระสงฆ์ และผู้ประพฤติ ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม นำคำสอนเผยแพร่ ความรู้การดำรงชี

อย่าเยอะกับชีวิต..สุขปัจจุบัน สำคัญที่สุด โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
จะสุขจะทุกข์ อยู่ที่เราเลือก โดย ท่าน ว.วชิรเมธี ไร่เชิญตะวัน article
กอดอย่างไร..ไม่ให้เจ็บ โดย ท่าน ว.วชิรเมธี ไร่เชิญตะวัน article
๓ หลักคิดชีวิตมีสุข โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
ทำทุกวันให้เป็น "วันสุข" โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
คาถาแก้จน..คนสร้างตัว โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
วางตนให้ถูกที่ ฝันนี้อยู่ไม่ไกล โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
ปัญหามีไว้แก้ไข..ไม่ใช่แก้เคล็ด โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
เซลฟี่วิถีพุทธ โดย พระอาจารย์ชยสาโร article
งานสำคัญที่สุด โดย พระอาจารย์ชยสาโร article
พุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โดย พระอาจารย์ชยสาโร article
"หลักธรรม.แก้.ความขัดแย้ง" ตอน 1 โดย ท่าน ป.อ.ปยุตโต article
"หลักธรรม.แก้.ความขัดแย้ง" ตอน 2 โดย ท่าน ป.อ.ปยุตโต article
"พุทธคยา" โดย ท่าน ป.อ.ปยุตโต article
ที่พึ่งอันประเสริฐ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ article
ผู้ฉลาดย่อมแสวงหาทางพ้นทุกข์ หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป article
อุบายธรรมะ วันลอยกระทง หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป article
อุปสรรคของความรวย : ๕ ขี้ที่ควรทิ้งจากชีวิต โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
สบตากับความตาย นัดสุดท้ายของชีวิต โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
พลังของการให้ โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
อย่าลืมกายลืมใจ โดย พระไพศาล วิสาโล article
ครองตนให้พ้นทุกข์ โดย พระไพศาล วิสาโล article
สมดุลชีวิตทำกิจกับทำจิต โดย พระไพศาล วิสาโล article
เราเป็นอย่างที่เราคิด กฏแห่งความสำเร็จ โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
โลกเปลี่ยนเราปรับ รับชีวิตยุค 4.0 โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
เปลี่ยนโลกียทรัพย์เป็นอริยทรัพย์ โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
งานหลักของชาวพุทธ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช article
มีลมหายใจเป็นเพื่อน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช article
ธรรมดาของโลก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช article
ทำง่ายอย่าทำยาก โดย พระไพศาล วิสาโล article
พ้นทุกข์ได้ด้วยตนเอง โดย พระไพศาล วิสาโล article
จะก้าวหน้าได้ ต้องไม่กลัวผิด โดย พระไพศาล วิสาโล article
ไวรัสในใจ โดย พระอาจารย์ชยสาโร article
วันที่ดีที่สุด โดย พระอาจารย์ชยสาโร article
ฉลาดในความไม่เที่ยง โดย พระอาจารย์ชยสาโร article
ภาวนาเตือนตนทุกเวลา โดย หลวงปู่สิม พุทธาจาโร article
สังขาร เกิด ดับ โดย หลวงปู่สิม พุทธาจาโร article
รู้อยู่ที่กาย วาจา โดย หลวงปู่สิม พุทธาจาโร article
อยู่กับปัจจุบันไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต โดย หลวงพ่อพุทธทาส article
การชนะโลก โดย พุทธทาสภิกขุ article
ศิลปะแห่งการใช้สติในทุกกรณี โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ article
ขอบคุณความจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
วางใจให้เป็นสุข..ลดทุกข์รายวัน โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
เข้าใจจริต วางชีวิตให้เป็น โดย ท่าน ว.วชิรเมธี article
ความชั่วมันหอมหวาน แต่ความดีมันขื่นขม พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม article
ทำชั่วได้ดี...ทำดีได้ชั่ว พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม article
ชีวิตไม่สิ้นหวัง พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม article
คิดอย่างไรใจสงบ article
หน้าที่เป็นสิ่งที่สำคัญของชีวิต article
การไหว้พระที่ถูกพระ article



เว็บไซต์ www.legendnews.net ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการคัดลอกหรือเปลี่ยนเป็นชื่อเว็บของท่าน