เพราะทั้งอุปกรณ์ไฮเทคอย่างแบล็คเบอร์รี และกระแสโลกาภิวัตน์ในโลกธุรกิจ ทำให้ผู้คนจำนวนมากทำงานเลยเวลาปกติมากขึ้น และทำให้การเสพติดงานกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
ก่อนหน้านี้ อาการ "บ้างาน" หรือ workaholic เป็นเพียงความคิดเห็น แต่ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ ได้ออกแบบระบบการวัดสำหรับแยกพนักงาน ที่กระตือรือร้นออกจากกลุ่มที่มีพฤติกรรมสร้างปัญหา นั่นคือ ทำงานหนักเกินไป
ระบบการวัดที่ว่านี้มีชื่อว่า "เบอร์เกน เวิร์ค แอดดิกชั่น สเกล" (Bergen Work Addiction Scale) ที่ประเมินพฤติกรรมที่สะท้อนถึงการเสพติดในด้านต่างๆ คล้ายการเสพยาไปจนถึงติดแอลกอฮอล์ เพียงแต่เน้นเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งจากรายงานที่เผยแพร่ในวารสารจิตวิทยา ดร.เซซิลี ชู แอนเดรียเสน จากมหาวิทยาลัยเบอร์เกน ระบุว่า นี่เป็นระบบการประเมินที่คิดค้นได้ครั้งแรกในโลก
โดยแต่ละคำถาม จะแบ่งคะแนนออกเป็น 1=ไม่เคยเลย 2=ไม่บ่อย 3=บางครั้ง 4=บ่อย และ 5=ทุกครั้ง
คำถามมี 7 ข้อ
ข้อแรก คุณคิดว่าทำอย่างไรจะสามารถเพิ่มเวลาทำงานได้อีก
ข้อ 2 คุณใช้เวลาในการทำงานมากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก
ข้อ 3 คุณทำงานเพื่อลดความรู้สึกผิด ความโกรธ หมดหนทาง และซึมเศร้า
ข้อ 4 คนอื่นๆ มักบอกให้คุณทำงานน้อยลง แต่คุณก็ไม่ฟัง
ข้อ 5 คุณจะเครียดมาก หากถูกห้ามไม่ให้ทำงาน
ข้อ 6 คุณลดความสำคัญของงานอดิเรก กิจกรรมยามว่าง และการออกกำลังกาย เพราะงานที่ทำ
ข้อ 7 คุณทำงานมากจนส่งผลลบต่อสุขภาพ
หากคุณตอบว่า บ่อย (4) หรือทุกครั้ง (5) ในคำถาม 4 ข้อ หรือมากกว่านั้น หมายความว่า คุณอาจเป็นพวกบ้างาน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การเสพติดงานเป็นเรื่องเลวร้าย ไม่ใช่เรื่องดี เพราะขอบเขตระหว่างบ้านและที่ทำงานเริ่มไม่ชัดเจน
การใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ แล็บทอป และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หมายความว่า การปิดเครื่องทำได้ยาก แต่ทำงานจากบ้านง่ายกว่า และยิ่งกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้บางบริษัท จำเป็นต้องประสานงานกับเพื่อนร่วมงานที่อยู่ต่างโซนเวลากัน ซึ่งเป็นการทำงานนอกจากเวลางานปกติ
ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้และอื่นๆ ทำให้พนักงานจำนวนมาก ทำงานมากเกินไป และไม่อาจต้านทานแรงผลัก ซึ่งเป็นนิยามของการเสพติด