เมืองพัทยากับความหวังครั้งต่อไป
หากในเมืองไทยถูกจัดว่าเลื่องชื่อเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว พัทยาก็อาจจะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักที่ขาดหายไปแล้ว หลาย ๆคนจะท่องเที่ยวกันไม่ได้ ยังคงมีพื้นที่อีกมากมายในประเทศที่เหล่าบรรดานักเดินทางให้ความสนใจและนึกถึงไม่แพ้กับพัทยา แต่ถ้าหากขาดเมืองแห่งเศรษฐกิจท่องเที่ยวเมืองนี้ไป เมืองไทยที่เคยสวยสด อาจจะเจือจางไปอย่างไร้สีสันก็เป็นได้
ในปัจจุบันเมืองพัทยา กลับกลายไปเป็นแหล่งเศรษฐกิจฐานสำคัญของเมืองไทย นอกจากจะเรียกเงินตราจากชาวต่างชาติได้อย่างมหาศาลแล้ว ยังสามารถหยุดชะงักวงเงินในกระเป๋าของคนไทยด้วยกันไม่ให้ออกไปรั่วไหลกับการท่องเที่ยวต่างประเทศอย่างที่เคยเป็น เมืองพัทยาถูกจัดเป็นพื้นที่พิเศษของการท่องเที่ยว โดยมีการจัดการ ที่เกิดจากการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนรวมไปถึงภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาพื้นที่เมืองพัทยาให้มีศักยภาพเติบโตที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สมบูรณ์ หน่วยงานหนึ่งที่สำคัญในการมีส่วนผลักดันและพัฒนาพื้นที่พิเศษดังกล่าวให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่ในการดำเนินงานด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการประสานงานให้เกิดการบูรณาการด้านการบริหารการพัฒนาพื้นที่ที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่ทรงคุณค่า อย่างความคล่องตัวและรวดเร็วในการดำเนินงาน
ในตอนนี้เราจะเห็นได้ชัดว่าในตอนนี้เมืองพัทยาเริ่มมีการปรับปรุงและก่อตั้งสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ๆมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้รองรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย จึงทำให้เกิดสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ๆที่เปิดให้เที่ยวชมในเวลากลางวัน ทำให้ในวันนี้เมืองพัทยา ที่เคยถูกกล่าวขานโดยมากในด้านเชิงลบ ถูกแบ่งเบาออกไปด้วยสถานที่แห่งใหม่ ๆคล้ายกับหนังเรื่องเก่าที่ถูกนำมาแต่งแต้มสดขึ้นด้วยแง่มุมใหม่ และหนึ่งในสถานที่แห่งนั้นคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจาก
Silverlake สวรรค์ใหม่แห่งนักท่องเที่ยว
กว่าร้อยหกสิบกิโลเมตรบนเส้นทางสายกรุงเทพสู่เมืองพัทยา มีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกง่าย ๆว่า ไร่องุ่น Silverlake ที่ตั้งอยู่ไกลห่างจากความโกลาหลและมลพิษทางอากาศ ถูกซ้อนเร้นไว้ในอ้อมกอดของหุบเขา ที่นี่ตึกสูงระฟ้าจากมหานครอย่างกรุงเทพฯถูกแทนที่ด้วยต้นไม้ใหญ่ที่อุดมไปด้วยเหล่าธรรมชาติมากมายที่มาพร้อมกับเหล่าแมกไม้นา ๆพรรณ และสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่เข้ามาเที่ยวชมได้ไม่ยาก ด้วยความเป็นเอกลักษณ์แบบตะวันตกผสมผสานกับภูมิปัญญาชาวบ้านแบบไทย ๆ ที่นี่มีผลิตภัณฑ์มากมายที่เกี่ยวข้องกับองุ่น ไว้จัดจำหน่ายไม่ว่าจะเป็นผลองุ่นสดและไวน์องุ่นชั้นดีที่ผ่านกรรมวิธีในการปลูกอย่างละเอียดอ่อนและทะนุถนอมจึงทำให้มั่นใจได้เลยว่า ทุกผลผลิตจะคุ้มค่าสมราคา แต่เหนือสิ่งอื่นใดไร่องุ่นแห่งนี้เก็บกักประวัติที่แสนจะโรแมนติกเอาไว้เพื่อบ่งบอกกับผู้คนที่มาเที่ยวชมได้สัมผัสกับความหอมหวานของไร่แห่งนี้มากกว่าความสวยงามที่มีอยู่ คุณคุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์ อดีตดาราดังทางโทรทัศน์ ที่เปิดไร่แห่งนี้เพื่อเป็นของขวัญให้แก่สามีชาวต่างชาติ ที่มักจะชื่นชอบในการดื่มไวน์และหลงไหลในธรรมชาติอันเขียวขจี นอกจากนี้ไร่องุ่น Silverlake ยังถือได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญที่ชาวต่างชาติและชาวไทยแวะเวียนเข้ามาเที่ยวชมอย่างล้นหลามอีกด้วย
นายวัฒยา แซ่จึง พนักงานต้อนรับในส่วนของรีสอร์ท บอกกับเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่าในแต่ละปี ไร่แห่งนี้สามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนเงินถึงหนึ่งร้อยล้านบาท โดยรายได้เฉลี่ยประมาณ 60 เปอร์เซนต์มาจากการท่องเที่ยว และลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวค่อนข้างหลากหลายมีทั้งมากับครอบครัว แบบคู่รักและแบบกรุ๊ปทัวร์ ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวจะมาใช้เยี่ยมชมความสวยงามของที่นี่ในช่วงฤดูหนาวเพราะในช่วงระยะเวลานั้นสภาพอากาศของที่นี่จะสดชื่นและสวยงามมาก มีทั้งทะเลหมอกที่มาพร้อมกับกลิ่นไอแห่งลมหนาวเย็น นายวัฒยา แซ่จึง ยังบอกกับเราต่ออีกว่า ไร่องุ่นSilverlake หาได้มีการหยุดพัฒนาหรืออยู่กับที่ไม่ แต่ยังคงมีการปรับปรุงหรือตกแต่งให้สวยงามมากยิ่งขึ้นในทุกๆปี เพื่อหวังให้ชาวต่างชาติและคนไทยระลึกไว้ว่าที่แห่งนี้ก้สวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลก
คุณค่าแห่งอารยธรรม
ถัดมาอีกเพียงไม่กี่อึดใจจากไร่องุ่นSilverlakeหากใครเคยได้เข้าไปสัมผัสกับความงามของงานพุทธศิลป์ชิ้นสำคัญที่ถูกสรรสร้างไว้บนผาหินสูงของเขาชีจรรย์ คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าภูเขาหินแห่งนี้ไม่เพียงแต่จะเรียกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาต้องมนต์เสน่ห์ได้อย่างเดียวแต่ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมครั้งสำคัญที่สามารถลดเลือนภาพเก่าๆด้านลบของเมืองพัทยาได้อีกด้วย เพราะที่นี่เป็นสถานที่ ๆจัดให้นักท่องเที่ยวได้มาเข้าชมในเวลากลางวัน และเป็นการเต็มเติมรอยต่อทางอารยธรรมของพุทธศาสนาที่ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของชาวไทยก็ว่าได้ แต่จะมีคนไทยเชื้อสายมุสลิมสักกี่คนที่นับถือพระเจ้าต่างพระองค์ แต่กลับมาต้องมนต์เสน่ห์ต่องานพุทธศิลป์ชิ้นนี้อย่างลึกซึ้ง
นายฤทธิชัย เกาะหมากหนึ่งในจำนวนนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวมุสลิม ที่จะมาจาระไนถึงความรู้สึกของเขาที่มีให้กับสถานที่แห่งนี้ว่า “มันสวยงาม และชั่งเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง สวยงามและเป็นหนึ่งเดียวในโลกก็ว่าได้”
ตลาดที่มากกว่าการตลาด
ในเมืองพัทยา หากจะต้องหาสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆมาจัดแสดงสักหนึ่งแห่งแล้ว เชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ที่เราเรียกกันว่า ตลาดน้ำสี่ภาค คงไม่ใช่สิ่งอื่นไกลที่จะได้รับเกียรติ เพราะความเป็นเอกลักษณ์ในแบบไทย ๆ ที่รวบรวมเอาทั้งสี่ภาคมาเข้าอยู่ด้วยกัน จึงทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยหลงใหลในวัฒนธรรมความเป็นไทยของที่แห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก จะเห็นได้ชัดว่าตลาดแห่งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นแหล่งค้าขายสินค้าให้กับชาวต่างชาติเพียงอย่างเดียวแต่ยังถือได้ว่าเป็นแหล่งสร้างงานสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่อีกด้วย และนอกจากนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือสถานที่แห่งนี้คงจะไม่ผิดนัก หากใครสักคนจะเรียกมันว่าแหล่งแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของหนึ่งของไทยเลยก็ว่าได้ เพราะจำนวนชาวต่างชาติที่มาจากหลากหลายประเทศและหลากหลายสำเนียงภาษา ที่นำมาพูดคุยกัน ณ ที่แห่งนี้ ตลอดระยะเวลา3ปีเต็มที่ตลาดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นก็มีจำนวนตัวเลขทางการเงินหลักมหาศาลหมุนเวียนเข้ามาช่วยให้เศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่อยู่ในขณะนี้ เดินหน้าขึ้นกว่าเก่า สิ่งสำหรับบางคนพื้นที่เล็กๆแห่งนี้อาจไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะสามารถประคองชีวิตเธอ แต่มันยังหมายถึงชีวิตอีก2ชีวิตที่เธอต้องรักษาเอาไว้ด้วยการมาทำมาค้าขายในพื้นที่แห่งนี้คือลูกและสามีของเธอ
เรือขายอาหารลำเล็ก ๆที่ต้องคอยแจวไปตามทางน้ำไหลของตลาดคงจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วสำหรับเธอ หญิงชราวัย60ปี ที่ชื่อนางอติภาปะหุปะไพเธอยังคงใช้แรงใจที่มีอยู่ควบคู่ไปกับความสามารถของการพูดหลายภาษา ดีกรีป.4ของเธอหาใช่ส่วนผสมหลักที่สำคัญเลยหากที่เทียบกับชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เสียงตะโกนของเธอยังคงดังก้องขึ้นเพื่อเรียกลูกค้าไม่ขายสาย เมื่อคำถามแรกถูกเปิด เธอบอกกับเราว่า “ถ้าไม่ทำก็ต้องอดตาย”คำ ๆนี้ยังใช้เตือนใจผู้ฟังได้ดีเสมอในยุคแห่งการแย่งชิงแบบนี้ ในเวลาเดียวกันนั้นเธอใช้สองมือเสียบเนื้อจระเข้แล้วคลุกเคล้ากับส่วนผสมต่างๆอย่างช่ำชอง ก่อนที่จะเล่าต่ออีกว่า “ที่นี่ชาวต่างชาติเยอะกว่าคนไทย ของจึงขายดี คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมาเที่ยวหรอกมีแต่คนจีนคนเวียดนาม และญี่ปุ่นป้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนไทยถึงชอบเที่ยวแต่กลางคืน แทนที่จะมาเที่ยวที่แบบนี้” หลังจากประโยคนี้จบ คำถามมากมายก็เกิดขึ้นภายในใจของผู้ฟังว่าเหตุใดหนอคนไทยถึงไม่ยอมอนุรักษ์อะไรไทย ๆแบบนี้ไว้ เหตุใดถึงไปเห็นคุณค่าความสำคัญเกี่ยวกับของที่ลอกเลียนจากเขามา ขนาดชาวต่างชาติยังสนใจในความเป็นไทยของเรามากกว่าผับบาร์ ตามถนนสายราตรีที่เราหลงใหลมันเลย แต่เรากลับไม่เคยนึกถึงดีแต่จะสร้างตึกสูง สร้างรถไฟหรือสถานที่อะไรต่างๆมากมายเพื่อหวังจะให้เหมือนกับบ้านเมืองคนอื่นจนมองข้ามความเป็นเราที่บรรพบุรุษมอบไว้ให้เสียหมดแล้ว แล้วถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปในยุคพอเพียงไม่เคยเพียงพอแบบนี้ หากบ้านเรือนเปลี่ยนไป หรือความเป็นไทยสูญสิ้นชาวต่างชาติก็คงจะเที่ยวชมแต่ในบ้านของตนเองเสียก็ได้ แทนที่จะต้องมาเสียเงินเดินทางหลายสตางค์ เพราะสิ่งที่เรากำลังก้าวเข้าไปหาคือสิ่งที่เขามีกันแล้ว
ธิติ ปลีทอง
คณะนิเทศศาสตร์ / วารสารศาสตร์
หมายเหตุ**รายงานพิเศษนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนานักข่าวรุ่นใหม่ Tourism Junior Reporter สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น ร่วมกับ องค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี