เมืองใหญ่คนเยอะอย่างกรุงเทพมหานครนั้น ไม่แปลกที่จะพบเจอหลากหลายปัญหาที่แก้กันเท่าไหร่ก็แก้ไม่ตก ที่กำลังมาแรงอย่างที่สุดก็คงเป็นเรื่องน้ำท่วม รถติด อาชญากรรม และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษต่าง ๆ สำหรับปัญหามลพิษนั้น ขณะนี้ขยะก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่นับวันจะบริหารจัดการได้ลำบาก เนื่องจากปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การแก้ไขด้วยการนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ด้วยการทำปุ๋ย เพียงร้อยละ12 ของขยะทั้งหมด เกือบ 10,000 ตันต่อวัน เท่านั้น ส่วนที่เหลือแม้จะมีการกำจัดด้วยวิธีที่ถูกสุขลักษณะด้วยการฝังกลบ แต่การฝังกลบก็มีข้อเสียหลายอย่าง อาทิ การหาและเลือกพื้นที่ในการทำหลุมฝังกลบและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ
ดังนั้นแต่ละพื้นที่จะเลือกวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไปตามสภาพท้องถิ่น และข้อจำกัดเรื่องที่ดิน เนื่องจากวิธีนี้ต้องใช้ที่ดินมากเนื่องจากปริมาณขยะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งไปสู่สถานที่ฝังกลบที่ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากเขตเมืองอีกทั้งยังไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ เพราะเป็นการสร้างมลพิษให้กับท้องถิ่น
ดังนั้นการเพิ่มวิธีกำจัดขยะในรูปแบบอื่นจึงมีความจำเป็น กรุงเทพมหานคร (กทม.) จึงได้คิด “สร้างเตาเผามูลฝอย” ขึ้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า จากตัวเลขของขยะมูลฝอยที่ต้องกำจัด 8,700-9,700 ตันต่อวัน โดยใช้วิธีการฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะร้อยละ 88 ซึ่งเป็นการฝังกลบนอกเขตกรุงเทพฯ พื้นที่จังหวัดนครปฐม และฉะเชิงเทรา ทำให้เกิดปัญหามลพิษในด้านการขนส่ง และไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ ดังนั้นการใช้วิธีเผาขยะด้วยพลังงานความร้อนสูงจึงถือเป็นทางเลือกที่สำคัญและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก เพราะประเทศพัฒนาแล้วหลาย ๆ ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน และประเทศในแถบยุโรป นอกจากนี้พลังงานจากเตาเผาขยะสามารถนำไปใช้ผลิตไฟฟ้า อีกทั้งส่วนที่เหลือจากการเผาไหม้ขยะสามารถนำไปแปรรูปเป็นวัสดุก่อสร้างได้อีกด้วย และนี่เป็นครั้งแรกที่ กทม. ได้ริเริ่มให้มีโครงการเตาเผาขยะในกรุงเทพฯ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ ในการบริหารจัดการขยะ เขตเมืองในระยะยาว โดยใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
กทม. จึงได้ลงนามสัญญาจ้างบริษัทซีแอนด์จี เอ็นไวรอนแมนทอล โปรเทคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด วงเงิน 2,124.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างและเดินระบบเตาเผาขยะมูลฝอยขนาด 300-500 ตัน/วัน ณ ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยหนองแขม โดยโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างที่จะเริ่มก่อสร้างใช้เวลา 700 วัน การสร้างเตาเผาดังกล่าวเป็นการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการบริหารจัดการขยะแทนการฝังกลบ โดยจะติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งบริหารจัดการ กทม. ต้องจ่ายค่าจ้างในการเผาขยะ ในอัตรา 970 บาทต่อตันต่อวัน เป็นระยะเวลา 20 ปี จากนั้นจึงจะโอนให้ กทม. ดำเนินการบริหารจัดการต่อไป จึงถือว่าคุ้มค่าในการที่จะนำมาใช้แก้ปัญหา
สำหรับกระบวนการทำงานของโรงเตาเผามูลฝอยพร้อมผลิตไฟฟ้าแห่งนี้ จะเป็นการทำงานในรูปแบบเดียวกับที่บริษัท ซีแอนด์จีฯ ได้ดำเนินการในประเทศต่าง ๆ คือ เมื่อรถเก็บมูลฝอยมาถึงโรงงาน ผ่านการชั่งน้ำหนัก จะขึ้นไปเทมูลฝอยลงในบ่อมูลฝอยแบบปิด เครนจะตักมูลฝอยป้อนเข้าสู่เตาเผาที่มีอุณหภูมิสูงถึง 850-1,100 องศาเซลเซียส โดยในเตาจะมีแผ่นตระกรับที่พลิกตัวได้ ทำให้มูลฝอยในเตามีการพลิกตัวตลอดเวลาเมื่อรวมกับก๊าซที่ถูกสูบจากบ่อมูลฝอย จะทำให้มูลฝอยถูกเผาไหม้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยความร้อนจากการเผามูลฝอย ผ่านหม้อไอน้ำหมุนเวียนเกิดเป็นไอน้ำอุณหภูมิสูง ป้อนสู่ชุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ด้วยการทำให้พลังงานความร้อนที่อยู่ในตัวมูลฝอย ที่ผ่านการเผาไหม้จะถูกไอเสียที่มีความร้อนสูงนำพาไป โดยมีระบบหมุนเวียนไอน้ำของหม้อไอน้ำดูดรับความร้อน กลายเป็นไอร้อนที่มีความร้อนสูงและความดันสูงและไอร้อนที่ผลักดันเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าออกมา
ส่วนที่เหลือจากการเผาไหม้นั้นจะแบ่งออกเป็น 5 ส่วน คือ
- เถ้าหนักที่เหลือจากการเผาไหม้ คือสารอินเนิร์ท (Inert) ที่ไม่สามารถเกิดปฏิกิริยาได้นำไปฝังกลบหรือแปรรูปเป็นวัสดุก่อสร้างได้ โดยเถ้าหนักนี้จะเหลือสิ่งที่เผาไหม้ได้อีก ในอัตราต่ำกว่า 3% ของน้ำหนักเถ้าทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานยุโรป และเมื่อเผาไหม้อีกครั้งแล้วจะเหลือเถ้าหนักประมาณ 10-20% ปราศจากมลพิษ จึงสามารถนำไปฝังกลบหรือแปรรูปเป็นวัสดุก่อสร้าง
- เถ้าลอย ที่ดักได้จากระบบดักฝุ่น จะถูกนำไปตรวจสอบ เถ้าลอยเหล่านี้จะถูกรวบรวมไม่ให้ฟุ้งกระจายและนำไปกำจัดตามข้อกำหนดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป
- ไอเสียที่เกิดจากกระบวนการทั้งหมดจะถูกบำบัดจนได้มาตรฐาน ผ่านอุปกรณ์บำบัดไอเสียประสิทธิภาพสูง ที่สามารถบำบัดสารอันตรายที่อยู่ในไอเสีย เช่น สารกรด สารโลหะหนักและสารไดออกวิน ในส่วนของฝุ่นละอองมีการใช้ถุงกรองฝุ่นประสิทธิภาพสูงดักฝุ่นก่อนปล่อยออกสู่ภายนอกและมีเครื่องมือตรวจวัดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อยืนยันว่าเป็นไอเสียที่ไร้พิษ ก่อนปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศต่อไป
- น้ำเสียในโรงงานทั้งหมดจะผ่านกระบวนการบำบัด เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยไม่มีการปล่อยทิ้งออกมาภายนอก
- กลิ่นเหม็นนั้น เตาเผาจะมีเครื่องสูบอากาศในบ่อมูลฝอย ทำให้ภายในบ่อมูลฝอยมีความดันต่ำกว่าภายนอก อากาศจากภายนอกจะไหลไปสู่ภายในทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็นรั่วออกไป แม้ว่าอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ในโรงงานหยุดทำงานแต่ระบบดูดกลิ่นด้วยความดันก็ยังจะทำงานอย่างอิสระรวมทั้งมีการปิดคลุมส่วนต่าง ๆ ที่อาจจะส่งกลิ่นอย่างมิดชิด โดยเฉพาะโรงเก็บขยะ ทำให้บริเวณโรงงานปราศจากกลิ่นเหม็น และไม่ส่งกลิ่นรบกวนชุมชนโดยรอบ
ในทุกขั้นตอนเรียกได้ว่าป้องกันทุกทาง เพื่อให้สามารถกำจัดขยะ โดยไม่ให้เกิดมลพิษก็คงต้องคอยดูว่าการแก้ปัญหาจะดีมากน้อยสักแค่ไหน
แต่ทั้งนี้แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีหรือวิธีที่ดีเลิศเลอขนาดไหน วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดสำหรับ “ขยะ” ก็คือ การที่เราพยายามจะสร้างขยะให้น้อยที่สุดนั่นเอง.