รู้ทันโรคเริม
เริมคืออะไร?
โรคเริมเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ Herpes simplex ซึ่งเชื้อไวรัสตัวนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดที่มักจะพบบริเวณอวัยวะเพศ พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก และชนิดที่ทำให้เกิดแผล (cold sore) บริเวณริมฝีปาก พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
เริมเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย คำว่าเรื้อรังในทางการแพทย์นั้นหมายความว่าระยะยาว อย่างไรก็ตามในผู้ติดเชื้อเริมส่วนใหญ่อาจจะไม่มีอาการของโรคปรากฏขึ้นเลยก็ได้ ขณะที่ผู้ติดเชื้อเริมหลาย ๆ คนอาจมีอาการกำเริบซ้ำของโรคขึ้นมาอีก กรณีผู้ติดเชื้อเริมครั้งแรกที่มีการแสดงอาการ อาการของโรคก็อาจจะกำเริบได้อีกหลาย ๆ ครั้งในเวลาต่อมา เมื่อเวลาผ่านไประยะฝังตัวของโรคจะกินเวลานานขึ้นเรื่อย ๆ (โรคไม่แสดงอาการบ่อย) โดยจะมีความรุนแรงของอาการน้อยลงเรื่อย ๆ และหายเร็วกว่าในครั้งแรก ๆ
เริมที่อวัยวะเพศ?
โรคเริมที่อวัยะเพศ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส HSV (herpes simplex virus) โดยที่เชื้อไวรัสตัวนี้จะติดต่อและมักแสดงอาการขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ปากมดลูก หรืออาจจะแสดงอาการบนผิวหนังบริเวณอื่นของร่างกาย
อาการของเริมที่อวัยวะเพศเป็นอย่างไร?
อาการของเริมที่อวัยวะเพศจะมีตุ่มแผลที่อวัยวะเพศและ มีอาการเจ็บแสบบริเวณรอบ ๆ อวัยวะ และอาจมีอาการปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อก่อนแล้วจึงจะเกิดตุ่มใส ๆ ขึ้นและมีอาการเจ็บปวดมาก
ในผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ อาการของโรคอาจจะยังไม่ปรากฏทันที อาจใช้เวลาหลายเดือน หรือหลายปีหลังจากที่ติดเชื้อแล้ว สำหรับผู้ที่ติดโรคเริมที่อวัยวะเพศและแสดงอาการครั้งแรกนั้น อาการของโรคจะปรากฏอยู่นานประมาณ 4 ถึง 7 วัน
ไวรัสโรคเริม (HSV) มีอัตราการแพร่เชื้อได้สูงมาก
ไวรัสโรคเริม (HSV) สามารถแพร่เชื้อในคนได้อย่างง่ายดาย โดยติดต่อจากคนใกล้ชิดด้วยการสัมผัสโดยตรง โดยทั่ว ๆ ไปแล้วเริมที่อวัยวะเพศนั้นแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด รูทวาร หรือด้วยปาก เมื่อผู้ใดติดเชื้อไวรัสเริมแล้ว เชื้อนี้จะทำการฝังตัวอยู่ในร่างกายอย่างถาวร ผู้ติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศหลายคนอาจไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ เพราะมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือในหลาย ๆ คนนั้นไม่มีอาการของโรคที่สามารถสังเกตเห็นได้เลย
อาการของการติดเชื้อปฐมภูมิ
การติดเชื้อปฐมภูมิ เป็นการติดเชื้อครั้งแรก อาการของการติดเชื้อปฐมภูมิ ถ้าหากมีการแสดงอาการก็มักจะมีความรุนแรงของอาการมากกว่าในครั้งต่อ ๆ ไปและ อาจจะปรากฏอาการอยู่นานถึง 20 วัน สามารถสังเกตุอาการได้มีดังนี้:
แผลแสบ และแผลพุพองที่ปากมดลูก
ตกขาว
เจ็บแสบเมื่อปัสสาวะ
มีไข้ตัวร้อน
ปวดศรีษะ
ตุ่มใสบริเวณปาก
ผื่นแดง – ซึ่งปกตินั้นมักเจ็บปวดมากแล้วหลังจากนั้นจะเกิดทำให้รู้สึกแสบร้อน แล้วกลายเป็นแผลพุพองที่บริเวณโดยรอบอวัยวะเพศ ขาหนีบ ก้นและทวารหนักในเวลาต่อมา
ส่วนใหญ่แล้วแผลพุพองนี้จะหายไปเองและจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นหลงเหลือไว้
อาการของการกำเริบซ้ำของโรค
อาการกำเริบซ้ำของเริมที่อวัยวะเพศเหล่านี้มักจะมีความรุนแรงน้อยลงและหายเร็วกว่าครั้งแรก ๆ เพราะร่างการของผู้ติดเชื้อนั้นได้สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อต้านกับไวรัสเริมแล้ว ส่วนใหญ่แล้วอาการของโรคจะกินเวลาไม่เกิน 10 วัน สามารถสังเกตุอาการได้มีดังนี้:
ปวดแสบปวดร้อน /เจ็บแปลบ ๆ บริเวณอวัยวะเพศก่อนที่จะปรากฏตุ่มแผลพุพองขึ้นมา
ในผู้หญิงอาจมีแผลพุพองและแผลแสบนี้ที่ปากมดลูก ตุ่มใส ๆ บริเวณปาก
ผื่นแดง – ซึ่งปกตินั้นมักเจ็บปวดมากแล้วหลังจากนั้นจะเกิดทำให้รู้สึกแสบร้อน แล้วกลายเป็นแผลพุพองที่บริเวณโดยรอบอวัยะเพศ ขาหนีบ ก้นและทวารหนักในเวลาต่อมา
การกำเริบซ้ำของอาการอาจเกิดขึ้นเป็น ๆ หาย ๆ น้อยลงและมีความรุนแรงลดลงเรื่อย ๆ สำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HSV-1 จะมีการกำเริบซ้ำของอาการน้อยกว่าและมีความรุนแรงของอาการลดลงมากกว่า อาการที่เกิดขึ้นซ้ำในผู้ติดเชื้อ HSV-2
โรคเริมที่อวัยวะเพศเกิดจากอะไร?
เมื่อโรคเริม (HSV) ปรากฏอาการขึ้นบนผิวหนังของผู้ติดเชื้อแล้ว ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อนี้ไปยังผู้อื่นได้ง่าย โดยผ่านบริเวณผิวหนังที่มีความชื้น เช่น ปาก ทวารหนักและอวัยวะเพศ เชื้อไวรัสนี้ยังอาจจะแพร่ผ่านไปยังผู้อื่นได้ทางผิวหนังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายเช่น ดวงตา ได้อีกด้วย
เราไม่สามารถติดเชื้อโรคเริมได้โดยการหยิบจับวัตถุสิ่งของเช่น ผิวโต๊ะทำงาน อ่างชะล้าง หรือผ้าขนหนูที่ผู้ติดเชื้อโรคเริมหยิบจับมาก่อนได้
สาเหตุดังต่อไปนี้อาจนำไปสู่การติดต่อเชื้อโรคเริมได้
การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนักโดยไม่มีการป้องกัน
การใช้ปากในการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเม็ดตุ่มใสที่ปาก
ใช้อุปกรณ์เพื่อกิจกรรมทางเพศร่วมกัน
ทำการสัมผัสอวัยวะเพศกับผู้ที่ติดเชื้อโรคเริม
ไวรัสโรคเริม (HSV) สามารถแพร่จากผิวหนังของผู้ติดเชื้อได้แม้ในระยะก่อนจะปรากฏตุ่มแผลขึ้น ส่วนใหญ่แล้วไวรัสนี้จะแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ในระยะฟักตัวก่อนที่จะมีแผลพุพองปรากฏขึ้นบนผิวหนัง ขณะที่อาการปรากฏอยู่และเมื่อหลังจากที่ตุ่มแผลนั้นเพิ่งหายสนิท
ไวรัสโรคเริม ยังอาจจะถูกถ่ายทอดไปสู่ผู้อื่นได้ แม้จะไม่ปรากฏสัญญาณของการแสดงอาการกำเริบของโรค(ระยะฝังตัว)เลยก็ตาม (แต่มีโอกาสเป็นไปได้น้อยกว่า)
ถ้ามารดาที่ติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศนั้นมีอาการกำเริบของโรคขึ้นระหว่างการคลอดบุตร โอกาสก็เป็นไปได้สูงที่เชื้อสามารถแพร่ไปยังทารกได้ (ดูหัวข้อกรณีผู้ติดเชื้อตั้งครรภ์ด้านล่าง)
การวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศทำได้อย่างไร?
ผู้ติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศที่มีอาการแสดง ควรเข้ารับคำปรึกษากับ แพทย์เวชทั่วไป หรือคลินิคสมรรถภาพทางเพศหรือคลินิคโรคทางเดินปัสสาวะ การวินิจฉัยโรคเบื้องต้นควรได้รับการระบุโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางเดินปัสสาวะ – หรือสามารถเข้ารับการตรวจได้ที่คลินิกแพทย์โรคทั่วไปแทนก็ได้ อย่างไรก็ตามแพทย์โรคทั่วไปอาจให้คำแนะนำให้คุณควรพบแพทย์เฉพาะทางก่อนที่จะดำเนินการวินิจฉัยให้ หลังจากนั้นแพทย์จะทำการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอาการจากผู้เข้ารับการตรวจแล้วทำการวิเคราะห์วินิจฉัยโรค
โรคเริมนั้นสามารถวินิจฉัยได้โดยง่ายเมื่อเพิ่งติดเชื้อได้ไม่นาน
แพทย์จะทำการป้ายเอาตัวอย่างของเหลวจากบริเวณแผลโรคเริม – โดยอาจต้องทำให้ตุ่มแผลแตก หลังจากนั้นแพทย์จะนำเอาตัวอย่างของเหลวนี้เข้าห้องแล็บเพื่อทำการตรวจ ถ้าหากผลออกมาเป็นลบก็อาจจะไม่ได้หมายความว่าผู้เข้ารับการตรวจนั้นไม่ได้รับการติดเชื้อโรคเริมเสียทีเดียว เพราะหากผู้เข้ารับการตรวจครั้งแรกนั้นเกิดมีอาการของโรคเริมกำเริบซ้ำขึ้นมาอีกในภายหลัง นั่นสามารถยืนยันสภาวะการติดเชื้อโรคเริมได้ในตัวของมันเอง หรืออาจจะทำการตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีการติดเชื้อโรคเริมหรือไม่ก็ได้ แต่ในการตรวจเลือดนี้ก็อาจมีความคลาดเคลื่อนได้สูงถ้าหากว่าเพิ่งติดเชื้อได้ไม่นาน
การวินิจฉัยการติดเชื้อซ้ำของโรคเริมที่อวัยวะเพศ
ผู้ใดที่มีอาการของโรคเริมที่อวัยวะเพศซ้ำมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรค โดยแพทย์จะทำการสอบถามอาการและจำนวนครั้งที่มีการแสดงอาการก่อนหน้านั้น และจะวินิจฉัยถึงสาเหตุที่เป็นปัจจัยให้เกิดการกระตุ้นและแสดงอาการของโรคในครั้งนี้ด้วย เช่น การเจ็บป่วย หรือความเครียด เป็นต้น จากนั้นแล้วแพทย์ก็จะทำการตรวจอวัยวะเพศเพื่อดูว่าการติดเชื้อนั้นมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด
การดูแลรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศนั้นทำได้อย่างไรบ้าง?
อาการเจ็บปวด – บรรเทาด้วยยาพาราเซตามอล (ไทลินอล, แอคซิตามิโนฟีน) หรือไอบูโปรเฟน ซึ่งสามารถหาซื้อได้โดยไม่ต้องอาศัยคำสั่งแพทย์
ผู้ติดเชื้อโรคเริมบางคนแนะนำว่าการแช่อาบน้ำเกลือนั้นสามารถบรรเทาอาการได้เช่นกัน
ปะคบด้วยถุงน้ำแข็ง โดยห่อน้ำแข็งด้วยวัสดุอื่นก่อน – อย่าปะคบก้อนน้ำแข็งบนผิวหนังโดยตรง
ทาวาสลีน (หรือขี้ผึ้งปิโตเลียมอื่น ๆ ) ลงบนบริเวณแผล ถ้าหากว่ามีอาการปวดแสบเมื่อปัสสาวะให้ชะโลมครีมหรือโลชั่น ตัวอย่างเช่น ลิโดเคอีน เป็นต้น ลงบนบริเวณช่องทางเดินปัสสาวะ บางคนใช้วิธีการปัสสาวะขณะที่แช่ในน้ำอุ่นเพื่อช่วยลดความเจ็บปวด
ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่คับแน่นหรือพอดีตัว โดยเฉพาะบริเวณที่ปรากฏอาการของโรค
ล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะเมื่อคุณสัมผัสบริเวณที่ปรากฏอาการของโรค
งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าอาการของโรคที่ปรากฏนั้นหายดี
การรักษาทางยา
ณ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีตัวยาตัวใดที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้หายขาด ดังนั้นแล้วแพทย์อาจจะสั่งยาจำพวกที่มีฤทธิ์ต่อต้านไวรัส เช่น acyclovir เป็นต้น ให้กับผู้ติดเชื้อฯ โดยปกติแล้วผู้ติดเชื้อต้องใช้ยา acyclovir นี้วันละห้าครั้ง ตัวยาตัวนี้จะช่วยยับยั้งการแพร่จำนวนของเชื้อไวรัส ระยะเวลาในการเยียวยารักษาโดยใช้ยา acyclovir นั้นอยู่ที่ประมาณห้าวันนับแต่วันที่เริ่มใช้ยาวันแรกจนแผลบริเวณอวัยวะเพศหายเป็นปกติ ในกรณีมีตุ่มและแผลพุพอง ยาเม็ดต้านไวรัสนั้นจะช่วยให้แผลที่ปรากฏนั้นหายเร็วยิ่งขึ้น – ยังสามารถช่วยลดระดับความรุนแรงของอาการได้อีกด้วย แต่ตัวยาต่อต้านไวรัสนี้โดยปกติแล้วจะใช้ในในผู้ติดเชื้อที่แสดงอาการครั้งแรก
เนื่องจากปกติแล้วอาการของโรคเริมที่กำเริบซ้ำนั้นมีความรุนแรงน้อยลง ดังนั้นการรักษาทางยานี้จึงไม่มีความจำเป็นเท่าใดนักต่ออาการในครั้งถัด ๆ ไป
การรักษาแบบเป็นครั้งคราวและการรักษาแบบระงับอาการ
การรักษาแบบเป็นครั้งคราว – ปกติแล้วมักใช้กับกรณีผู้ติดเชื้อที่มีอาการกำเริบน้อยกว่าหกครั้งต่อปี เป็นการรักษาด้วยคอร์สห้าวัน ในการใช้ยาต่อต้านไวรัสในแต่ละครั้งที่มีอาการของโรคเริมปรากฏ
การรักษาแบบระงับอาการ – ถ้าผู้ติดเชื้อมีการกำเริบของอาการมากกว่าหกครั้งต่อปี หรือกรณีที่อาการที่กำเริบนั้นมีความรุนแรงมาก อาจมีความจำเป็นต้องใช้ยาต่อต้านไวรัสนานกว่าห้าวัน แต่เป้าหมายที่แท้จริงของการรักษาแบบนี้ก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการกำเริบขึ้นมาในภายภาคหน้า ดังนั้นผู้ติดเชื้อบางคนอาจใช้ยา acyclovir สองครั้งต่อวันติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน และถึงแม้ว่าการรักษาแบบระงับอาการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคเริมไปยังคู่รักได้ แต่ก็ยังคงมีโอกาสเป็นไปได้ที่เชื้อโรคเริมนั้นยังสามารถแพร่เชื้อได้อยู่นั่นเอง
โรคเริมที่อวัยวะเพศในขณะตั้งครรภ์
ถ้ากรณีที่มารดามีอาการกำเริบขึ้นของโรคเริมที่อวัยวะเพศก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์ โอกาสที่เชื้อโรคจะถ่ายทอดไปยังทารกนั้นค่อนข้างต่ำ นั่นก็เป็นเพราะว่าภูมิคุ้มกันของมารดานั้นจะถูกส่งผ่านไปยังทารกในครรภ์ ยิ่งมารดาผู้นั้นติดเชื้อโรคเริมก่อนการตั้งครรภ์นานเท่าใดระบบภูมิคุ้มกันโรคเริมยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และภูมิคุ้มกันที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นก็จะถูกถ่ายทอดไปยังทารกในครรภ์ ภูมิคุ้มกันเหล่านั้นจะทำหน้าที่ปกป้องทารกในขณะคลอดและยังคุ้มครองต่อไปอีกหลาย ๆ เดือนหลังคลอดแล้วด้วย
สำหรับสตรีที่เพิ่งติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศในระยะ 13 สัปดาห์แรก (ไตรมาสแรก) ของการตั้งครรภ์ อัตราความเสี่ยงที่เชื้อโรคจะถูกส่งผ่านไปยังทารกในครรภ์นั้นก็สูงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ถ้ามารดาติดเชื้อในระยะท้าย ๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ ความเสี่ยงที่ทารกในครรภ์จะได้รับเชื้อนั้นก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก สตรีส่วนใหญ่ผู้ซึ่งได้รับการติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์ แพทย์มักแนะนำให้ใช้ยา acyclovir (ตัวยาต่อต้านไวรัส) ในขณะที่ตั้งครรภ์นั้น ๆ
อัตราความเสี่ยงในการส่งผ่านเชื้อโรคเริมไปยังทารกในครรภ์นั้นยิ่งสูงมากขึ้นเมื่อผู้ป่วยติดเชื้อโรคเริมในระยะท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์ ความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคเริมของทารกนั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะขณะที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาหรือในช่วงก่อนการคลอด เพราะส่วนใหญ่แพทย์มักจะแนะนำให้มารดาผู้ติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศทำการคลอดโดยการผ่าตัดและ มารดาเองก็จะได้รับยาต่อต้านไวรัสไปด้วย ในกรณีที่มารดาผู้มีอาการกำเริบของเชื้อโรคเริมในช่วงไตรมาศที่สามของการตั้งครรภ์และ ปรากฏมีตุ่มแผลและแผลพุพองบริเวณอวัยวะเพศในช่วงใกล้วันคลอดนั้น ก็อาจมีความจำเป็นเป็นอย่างมากที่จะต้องทำการผ่าตัดในการคลอด แพทย์ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ทำการคลอดโดยการผ่าตัดหากว่ามารดาไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ อีกทั้งได้รับการติดเชื้อโรคเริมมาตั้งแต่ก่อนมีการตั้งครรภ์ เพราะอย่างที่ทราบว่ากรณีนี้โอกาสในการส่งผ่านเชื้อโรคเริมไปยังทารกนั้นมีน้อยมาก ๆ
การป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงของการพัฒนาหรือการแพร่เชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศ :
สวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
งดการมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่อาการของโรคเริมนั้นยังกำเริบอยู่ (ไม่ว่าจะทางอวัยวะเพศ, ทวารหนัก, หรือผิวหนังสัมผัสผิวหนังก็ตาม)
หลีกเลี่ยงการจูบเมื่อมีตุ่มใสขึ้นบริเวณปาก
ไม่ควรมีคู่นอนหลายคน
ในบางคนอาจพบว่าความเครียด ความอ่อนเพลีย ความเจ็บป่วย การขัดสีผิวหนัง หรือว่าการอาบแดด นั้นเป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้อาการของโรคเริมกำเริบขึ้นอีกเรื่อย ๆ ดังนั้นเมื่อทราบว่าปัจจัยใดเป็นตัวกระตุ้นให้อาการกำเริบแล้วก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย เพราะนั่นสามารถช่วยลดความถี่ของอาการกำเริบของโรคเริมได้มากทีเดียว
ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคเริม
“ผู้ที่ติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศสามารถทำกิจกรรมทางเพศได้ โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางเพศใด ๆ ก็แล้วแต่ในขณะที่แสดงอาการ การสวมถุงยางอนามัยขณะร่วมเพศสามารถช่วยป้องกันการแพร่เชื้อโรคได้”
“ประชากรชาวอเมริกันมากกว่า 50% ติดเชื้อโรคเริมและส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ”
“การจูบปากกับผู้ที่มีตุ่มใสที่ริมฝีปากนั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อโรคเริมได้ ”
“คุณไม่สามารถติดเชื้อโรคเริมได้จากการนั่งบนโถชักโครกเดียวกันกับผู้ติดเชื้อ ”
“โรคเริมที่อวัยวะเพศนั้นสามารถกระจายจากจุดหนึ่งของร่างกายไปยังส่วนอื่น ๆ ได้ ”
“ถ้าคุณไม่เคยมีอาการของผู้เป็นโรคเริมเลยนั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศ ”
“ความเครียดสามารถกระตุ้นการกำเริบซ้ำของโรคเริมได้ ”
“ผู้ติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอต่อเชื้อไวรัส HIV”
“โรคเริมที่อวัยวะเพศไม่ทำให้เป็นหมัน”