กินอาหารต้าน "มะเร็ง"
3 ก.พ. 2558 เรียบเรียงข้อมูลโดย www.legendnews.net
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ขอเลือกลาภที่ประเสริฐที่สุดคือเป็นโรคได้แต่ไม่ร้ายแรง
อย่าง "มะเร็ง" ใครได้ฟังก็หดหู่ ห่อเหี่ยว และถ้าเป็นแล้ว นอกจากร่างกายที่ต้องฟื้นฟูจิตใจยังต้องเข้มแข็งอีกหลายเท่า ที่สำคัญ เมื่อป่วยแล้วไม่ได้ป่วยเพียงคนเดียว แต่ญาติพี่น้องที่รักเราก็พลอยป่วยไปด้วย มากบ้างน้อยบ้างตามแต่จะจัดการหรือปล่อยวางกันได้ นอกจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีการจัดการอารมณ์ได้ไม่เครียด อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีแล้ว แนวทางการป้องกันที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งของโรคมะเร็งยังอยู่ที่ "การกิน" อีกด้วย
ผมเชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยรู้ดีครับว่ากินอย่างไรได้อย่างนั้น แต่หลายคนก็ยังไม่รู้หรือยังเผลอ "ตามใจปาก" กันอยู่ การกินที่ผมนำมาบอกต่อในวันนี้ อย่างแรกที่เราไม่ค่อยให้ความสำคัญก็คือน้ำสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มน้ำปะปาปนเปื้อนนั้นอันตรายอย่าบอกใคร เพราะมันอาจปนเปื้อนสารเคมีที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็งได้
กินอย่างต่อมาน่าจะอยู่ในขอบข่ายที่กว้างสักหน่อยโดยเฉพาะอาหารที่แปรรูปจนจำหน้าตาไม่ได้ว่ามันผลิตจากอะไรมาบ้างอาหารจำพวกนี้ถือเป็นตัวแม่ในการก่อมะเร็งเพราะมันถูกแปรสภาพมาที่อาจมีทั้งสารกันบูด สารแต่งรส แต่งกลิ่น ฯลฯ อาหารปิ้ง ย่าง ทอด ผัด รวมทั้งเจือปนสารเคมี และอาหารที่ขึ้นรา (ตาอาจมองไม่เห็น) ก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ที่เมื่อกินเข้าไปจะทำให้ร่างกายถูกโจมตีด้วยอนุมูลอิสระอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง
ผมเล่าแบบนี้ คงมีคนเริ่มวิตก แล้วจะกินอะไรดีล่ะ? ที่บอกไปข้างต้นนั้นเป็นสิ่งที่เราควรเลี่ยงเพราะมันมีโอกาสสูงมากๆ ที่จะเป็นตัวการก่อมะเร็ง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่มีญาติพี่น้องเป็นมะเร็งด้วยแล้วก็ยิ่งเสี่ยงเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะต้องพยายามลดอาหารปิ้ง ย่าง ทอด ไขมันสูง อาหารจังก์ฟู้ด และลดเนื้อแดง เพราะการกินเนื้อแดงมากๆ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่ทำให้สุกจนเกรียม เพราะมีสาร polycyclic aromatic hydrocarbons ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งสูง
โดยเฉพาะเมื่อป่วยแล้วจำเป็นต้องลดโปรตีนจากสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่นนมเพราะจะทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรด ให้หันมาทานถั่ว ซึ่งให้โปรตีนที่มีประโยชน์ทัดเทียมกับเนื้อสัตว์เช่นกัน พูดแบบนี้ อาจมีคุณหมอซึ่งเป็นแพทย์สมัยใหม่จำนวนไม่น้อยออกมาแย้งแน่ๆ เพราะจากประสบการณ์ตรง ได้ยินได้ฟังว่าทานได้ทุกอย่าง ทานให้ครบทุกหมู่ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่โดยส่วนตัวผมว่าลดปริมาณเนื้อสัตว์ลงตามความเชื่อของแพทย์ทางเลือกก็น่าจะไม่ผิดกติกานะครับ
อาหารหมักดองหลายชนิดก็อาจมีสารก่อมะเร็งในกลุ่มที่เรียกว่า สารประกอบไนโตรโซ ซึ่งมีสมาชิกของสารประกอบดังกล่าวบางตัวก่อมะเร็งได้ในกระเพาะอาหาร หรือการทานอาหารที่มีความเค็มจัดและเผ็ดจัด เข้าใจว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้เช่นกัน
เอาเป็นว่า ผมยังคงอยากแนะนำให้ผู้อ่าน หันไปใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ตั้งแต่วัตถุดิบ ถ้าเป็นผักผลไม้ก็ต้องไม่ปนเปื้อน เนื้อสัตว์ไม่มีสารเร่ง หันมากินผักผลไม้ในแบบฉบับของคนไทยสมัยก่อนกันให้มากเพราะนอกจากจะทำให้ขับถ่ายสะดวกแล้ว ผักผลไม้เกือบทุกชนิดจะมีสารแอนติออกซิแดนซ์ ช่วยต้านโรคมะเร็ง และโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ
โดยเฉพาะผลไม้มีวิตามิน ซี วิตามิน อี และเบต้าแคโรทีนสูง เช่น สตรอเบอร์รี่ ส้ม องุ่นแดง แอปเปิ้ลของไทยก็จะมีผลไม้ 10 อันดับ ที่ผ่านการวิจัยว่า มีเบต้าแคโรทีนสูง ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะเขือเทศราชินี มะละกอสุก กล้วยไข่ มะม่วงยายกล่ำ มะปรางหวาน แคนตาลูปเนื้อเหลือง มะยงชิด มะม่วงเขียวเสวยสุก และสับปะรดภูเก็ต
ผักที่สำคัญๆ ได้แก่ บล็อคโคลี่ เพราะมีสารซัลฟอราเฟน สรรพคุณยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในบล็อคโคลี่อ่อนมีสารซัลฟอราเฟนมากถึง 20-50 เท่าของบล็อคโคลี่ที่โตเต็มที่ รวมทั้งผักตระกูลกะหล่ำอื่นๆ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด
ส่วนใครที่ไม่อยากจำก็พยายามทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ทานให้หลากหลาย แบ่งทานผักหลากสีสัน หรือผัก 5 สี โดยเฉพาะสีเขียว เหลือง และแดง หันมาทานอาหารและผักพื้นบ้านซึ่งเป็นสมุนไพรในแบบฉบับอาหารเป็นยา รวมทั้งธัญพืชนานาชนิด ทำได้แค่นี้ผมว่าต้านมะเร็งได้มากแล้วล่ะครับ... จะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง!!