ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst)
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558 นำเสนอข่าวโดยทีมงาน www.legendnews.net
ช็อกโกแลตซีสต์ Chocolate Cyst คือถุงน้ำของรังไข่ชนิดหนึ่ง ซึ่งลักษณะของถุงน้ำชนิดนี้ ภายในจะมีของเหลวที่คล้ายกับช็อกโกแลตเหลว ซึ่งความจริงก็คือเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก เมื่อเซลล์ไปเกาะที่รังไข่ก็จะก่อตัวเป็นถุงน้ำซึ่งเป็นที่สะสมของเซลล์ รวมถึงเลือดประจำเดือนที่มีการสะสมอยู่นานจะกลายเป็นเลือดเก่า ๆ ที่มีความเข้มข้น จึงมีลักษณะเหมือนน้ำช็อกโกแลต
เยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่เหล่านี้ อาจจะกระจายเกาะอยู่ตามอุ้งเชิงกราน ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังจนเกิดพังผืดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยาก นอกจากนี้ยังอาจจะแทรกตัวเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อของผนังมดลูกเกิดภาวะมดลูกโต (Adenomyosis) ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือน และเลือดประจำเดือนออกมากได้
สาเหตุของโรคนี้ ในปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกนี้ไหลย้อนตามเลือดประจำเดือน เข้าไปในช่องท้องและไปก่อตัวเจริญเติบโตอยู่ภายในช่องท้อง ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
อาการของโรค ช็อกโกแลตซีสต์
อาการของโรคนี้จึงขึ้นกับตำแหน่งที่เซลล์ไปเจริญเติบโตอยู่ โดยสามารถแยกพิจารณาตามตำแหน่งที่โรคไปเจริญเติบโตอยู่ดังนี้
ตำแหน่งที่เกาะ
- เยื่อบุช่องท้อง อุ้งเชิงกราน
- รังไข่
- มดลูก
- ท่อรังไข่
- ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่
อาการโรค ช็อกโกแลตซีสต์
- ปวดประจำเดือน มากผิดปกติจนต้องใช้ยารักษา และอาการจะรุนแรงมากขึ้นเลื่อยๆ
- ประจำเดือนออกมากผิดปกติ อาจมาเป็นลิ่มๆ ถ้ารุนแรงจะเกิดภาะซีดได้
- ถุงน้ำรังไข่ (Chocolate cyst) ปวดท้องน้อย
- ปวดในช่องท้อง ท้องน้อย หรืออุ้งเชิงกราน
- อาการปวดต่าง ๆ เหล่านี้ มักจะรุนแรงขึ้นขณะที่มีประจำเดือน หรือ ช่วงก่อน/ หลังมีประจำเดือน
- ในรายที่เจริญที่รังไข่ อาจจะพบว่ามีก้อนในช่องท้อง จากถุงน้ำรังไข่ ที่โตขึ้น โดยอาจจะไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมา
- ในรายที่เป็นโรคระยะรุนแรงจะมีพังผืดเกิดขึ้นจำนวนมาก หรือท่อนำไข่ถูกทำลายไป จากเซลล์เหล่านี้ เข้าไปเกาะหรือฝังตัวในท่อนำไข่ ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหามีบุตรยากได้ หรือถ้าพังผืดไปเกาะที่บริเวณท่อไต จะทำให้ไตบวมน้ำหรือไตล้มเหลวได้
- ในกรณีเยื่อบุโพรงมดลูกหรือพังผืดไปเกาะที่ลำไส้ใหญ่ชนิดรุนแรงจะทำให้ถ่ายเป็นเลือดได้
การตรวจวินิจฉัยโรค ช็อกโกแลตซีสต์
แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจภายใน และในกรณีที่แพทย์ไม่แน่ใจ แพทย์จะทำการอัลตร้าซาวนด์ ตรวจดูอวัยวะในอุ้งเชิงกราน และทำ MRI ซึ่งสามารถช่วยบอกความรุนแรงของโรคได้อย่างชัดเจน
ที่มา ภาพและบทความ แพทย์หญิงหยิงฉี หวัง Phyathai