ปลูกถั่วเขียวหลังนา รายได้ดีกว่า นาปรัง
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558 นำเสนอข่าวโดยทีมงาน www.legendnews.net
นายชาญพิทยา ฉิมพาลี อธิบดีกรมการข้าว เผยว่า จากปัญหาภัยแล้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนมีปริมาณน้อย จนเป็นเหตุ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศขอความร่วมมือชาวนาในลุ่มเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลองงดทำนาปรัง กรมการข้าวร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินโครงการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์พืชหลังนา ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกถั่วเขียวเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งใน 10 จังหวัด พิษณุโลก, พิจิตร, สุโขทัย, นครสวรรค์, ชัยนาท, สิงห์บุรี, สระบุรี, พระนครศรีอยุธยา, สุพรรณบุรี และเพชรบุรี โดยนำเมล็ดพันธุ์พืชถั่วเขียวซึ่งต้องการน้ำไม่มากมาส่งเสริมให้ปลูกเป็นพืชหลังนา โดยสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ให้ครอบครัวละ 50 กก.ต่อพื้นที่ 10 ไร่ ปลูกแทนข้าวนาปรังตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2558 มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 3,439 ราย เป็นพื้นที่ 20,729 ไร่
“การส่งเสริมให้ปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา นอกจากลดความเสี่ยงข้าวยืนต้นตาย ชาวนามีรายได้จากการเก็บเมล็ดถั่วเขียวขายผลผลิต 100-200 กก.ต่อไร่ มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงหมู่บ้าน โดยราคาแต่ละจังหวัดแตกต่างกันตั้งแต่ กก.ละ 28-35 บาท”
อธิบดีกรมการข้าวบอกอีกว่า การปลูกในพื้นที่แล้งซ้ำซาก ความชื้นในดินต่ำ ปรากฏผลถั่วเขียวแคระแกร็น แห้ง ตาย หรือไม่ก็มีปัญหาตกหนักมากจนน้ำระบายไม่ทัน หนอนม้วนใบทำลาย จึงให้ไถกลบเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดินรอปลูกข้าวในฤดูกาลต่อไป แต่จากการติดตามเกษตรกรรายที่ปลูกถั่วเขียว ทุกปีและเกษตรกรรายใหม่ ส่วนใหญ่พอใจเพราะหลังจากหักต้นทุนค่าไถ-แรงงาน ยังมีกำไรดีกว่าปลูกข้าว
“บางคนหลังหักต้นทุนมีกำไรจากการขายถั่วเขียว 2,800-5,600 บาทต่อไร่ดีกว่าการปลูกข้าวนาปรัง ซึ่งหลังหักค่าไถ ค่าแรง ปุ๋ยเคมี เมล็ดพันธุ์ ปลูกข้าว 1 ไร่ มีกำไรแค่ 2,000 บาท หรืออาจน้อยกว่า ปีนี้หลังจากชาวนามีทางเลือกที่ดีกว่า หลายรายซึ่งมีพื้นที่มากกว่า 10 ไร่ ตัดสินใจเก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไว้สำหรับปลูกเป็นพืชหลังนาในปีหน้าอีกด้วย” นายชาญพิทยา กล่าว.
ที่มา ไทยรัฐ