ชนวนยุบ 7 องค์การมหาชน ตั้งผู้บริหาร "เงินเดือน-โบนัส" สูงลิ่ว
วันพุธ ที่ 17 พฤศจิกายน 2558 นำเสนอข่าวโดยทีมงาน www.legendnews.net
18 เดือนนับจากนี้ ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีวาระขับเคลื่อนการปฏิรูป 37 วาระ กับอีก 6 วาระ พัฒนาเป็นวาระแห่งชาติ
1 ปีผ่านไป คสช.ขะมักเขม้นอยู่กับการยกเครื่อง-พลิกแผนฟื้นฟู 56 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นองค์กรรัฐ-สมบัติชาติมูลค่า 12 ล้านล้านบาท ส่งสัญญาณเตือน 7 องค์กรรัฐวิสาหกิจแจกใบเหลือง-ใบแดงก่อนถึงเส้นตาย มี.ค. 2559
1 ปีจากนี้ถึงคิวปฏิรูปองค์การมหาชน 39 แห่ง หลังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) นำเรื่องวาระเพื่อทราบรายงานผลการประเมินองค์การมหาชนประจำปีงบประมาณ 2556-2557 เข้า ครม.เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา
แนบท้ายวาระร้อน เรื่องการทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชน 38 แห่ง-แนวทางการดำเนินการหาก ครม.มีมติยุบเลิกองค์การมหาชนจำนวน 7 แห่ง ประกอบด้วยยุบเลิก 4 แห่ง (ภายใน 6-8 เดือนนับแต่วันที่มีมติ ครม. (ภายใน ก.ค. 2559)) ได้แก่ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ศูนย์คุณธรรม (ศคธ.) สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.)
ยุบเลิก 3 แห่ง (ภายในวันที่ 8 มิ.ย. 2559) ได้แก่ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (บจธ.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.) สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.)
คงความเป็นองค์การมหาชนต่อไป-ควรย้ายการกำกับดูแลของรัฐมนตรีผู้รักษาการ 3 แห่ง ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.)
ทว่าเมื่อวาระร้อนถูกแพร่งพรายก่อนเวลาอันควร จึงตามมาด้วยเสียงคัดค้าน-อื้ออึงเล็ดลอดเข้าห้องประชุม ครม. ถึงหู พล.อ.ประยุทธ์ ส่งผลให้วาระถูกตีกลับ-ทบทวนอีกครั้งภายใน 3-6 เดือน
โดยให้รวบรวมข้อมูลจากกระทรวงเจ้าสังกัดขององค์การมหาชน ก.พ.ร. ผลการศึกษาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) -สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)
ผลการศึกษาวาระการปฏิรูปพิเศษ 7 เรื่อง การปฏิรูปองค์การมหาชนของ สปช.จำนวน 118 หน้า ที่ส่งถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา
ไม่เพียงแต่ผู้อำนวยการ (ซีอีโอ) องค์การมหาชน ได้รับเงินเดือนหลายแสนบาท-มากกว่าองค์รัฏฐาธิปัตย์-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึง 3 เท่า
แต่รายงาน สปช.ฉบับดังกล่าวได้วางเข็มทิศ-ชี้ทางยกเครื่อง "องค์กรไม่แสวงหากำไร" ไว้ครบวงจร อาทิ การปฏิรูประบบค่าตอบแทน เพื่อแก้ไขความฟุ่มเฟือย ลดค่าใช้จ่าย
ปัจจุบันค่าตอบแทนขององค์การมหาชนแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์การมหาชน พ.ศ. 2542 ได้แก่ กลุ่มที่ 1 พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน 6 แห่ง โดยกำหนดอัตราเงินเดือนซีอีโอ 100,000-300,000 บาท
อาทิ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ก่อตั้งขึ้นสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย (ทรท.) มี "ปลอดประสพ สุรัสวดี" ผู้ช่วยรัฐมนตรี ขณะนั้นเป็นประธานกรรมการ
สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.) หรือ OKMD ก่อตั้งขึ้นสมัยรัฐบาล ทรท.เช่นกัน โดย "พันศักดิ์ วิญญรัตน์" อดีตที่ปรึกษาอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว-อำนาจเปลี่ยนมือ พ.ต.ท.ทักษิณถูกรัฐประหาร 19 กันยาฯ 49 รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่งตั้งคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลแทน
เมื่อขั้วอำนาจพลิกผันในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช สบร.จึงถูกเปลี่ยนมืออีกครั้ง นอกจากนี้ มีอีก 6 องค์การมหาชนที่อยู่ในกลุ่มที่ 1 อาทิ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ก่อตั้งสมัยรัฐบาล ทรท. มี "สิริกรณ์ มณีรินทร์" เป็นประธาน และเป็นเหรัญญิกของ ทรท.
กลุ่มที่ 2 บริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะด้าน หรือสหวิทยาการ 19 แห่ง มีอัตราเงินเดือน 100,000-250,000 บาท และกลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป 14 แห่ง อัตราเงินเดือน 100,000-200,000 บาท
ขณะที่เบี้ยประชุมต่อเดือนของคณะกรรมการ (บอร์ด) องค์การมหาชน กลุ่มที่ 1 คนละ 6,000-20,000 บาท กลุ่มที่ 2 คนละ 6,000-16,000 บาท กลุ่มที่ 3 คนละ 6,000-12,000 บาท
สำหรับประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นตัวเงิน อาทิ ค่าพาหนะ ค่าประกันชีวิตหรืออุบัติเหตุ ค่าประกันสังคม เงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร เงินสำรองเลี้ยงชีพ สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ทั้งนี้ ให้มีอัตราไม่เกิน 25% ของเงินเดือนประจำ
ค่าตอบแทนผันแปร หรือค่าตอบแทนพิเศษขึ้นกับผลการปฏิบัติงานของซีอีโอ คิดเป็นอัตราไม่เกิน 25% ของเงินเดือนประจำ และประโยชน์ตอบแทนอื่น เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก ค่าพาหนะ และโอกาสขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ผลการศึกษาของ สปช.เสนอให้กำหนดค่าตอบแทนใหม่ สำหรับเงินเดือน-ค่าตอบแทนอื่นของซีอีโอ ให้เทียบเท่าอธิบดี แต่ไม่ควรแบ่ง 3 กลุ่ม โดยคือ ขั้นต่ำ 85,000 บาท และขั้นสูงเป็น 100,000 บาท
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้มีความรู้ความสามารถในสายวิชาชีพขาดแคลน เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ ควรได้ค่าตอบแทนสูงมากกว่าอีก 20% คือ 100,000-144,000 บาท ขณะที่เบี้ยประชุมควรมีเพียง 2 ระดับ ได้แก่ กรรมการ คือ 6,000-12,000 บาท และอนุกรรมการ 3,000-6,000 บาท
สปช.สรุปผลผการศึกษาปัญหา-จุดอ่อนว่า พ.ร.บ.องค์การมหาชน พ.ศ. 2542 ให้อำนาจ ครม.ในการจัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกา แต่ในทางกลับกันกลายเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองจัดตั้งองค์การมหาชนที่ไม่จำเป็น มีการใช้อิทธิพลทางการเมืองแทรกแซง โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ การแต่งตั้งกรรมการบริหาร ที่ปรึกษา
เป็นช่องทางในการแทรกแซงทางการเมือง ในการดำเนินงานขององค์การมหาชนบางแห่งในบางยุคบางสมัย และมักมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไปตามรัฐมนตรีที่กำกับ เช่น การรวมเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีกับองค์การสวนสัตว์ ขณะที่ปัญหาการปฏิบัติงาน จัดตั้งตามความต้องการทางการเมืองหรือความต้องการของบุคคล
ด้านการบริหาร องค์การมหาชนบางแห่งใช้ความคล่องตัวและความสามารถกำหนดกฎระเบียบได้ ส่งผลให้สามารถนำไปใช้ในทิศทางที่ผิด เช่น ระบบบริหารงานบุคคล เงินเดือน ประโยชน์ตอบแทน โบนัส ที่สูงกว่าหน่วยงานของรัฐ
การกำหนดตำแหน่งระดับสูงมากเกินความจำเป็น การใช้จ่ายงบประมาณไม่คุ้มค่าแพงกว่าส่วนราชการเพราะไม่มีมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้าง เกิดปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ
ด้านการบริหารงบประมาณ ใช้งบประมาณฟุ่มเฟือย ไม่สามารถวัดความคุ้มค่าได้ เช่น สบร. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
การมีงบประมาณเหลือจ่ายสามารถเก็บสะสมไว้เป็นรายได้ขององค์การมหาชน เมื่อถึงสิ้นปีงบประมาณก็จะเก็บสะสมงบประมาณเหลือจ่ายดังกล่าวเป็นรายได้ บางแห่งนำเงินงบประมาณเหลือจ่ายไปจ่ายเป็นโบนัสแก่ผู้ปฏิบัติงาน ด้านบุคลากรและค่าตอบแทน องค์การมหาชนบางแห่งมีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหาร และผู้บริหารเกือบทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ส่งผลให้การดำเนินงานไม่ต่อเนื่อง หรือคลาดเคลื่อนจากวัตถุประสงค์หลัก บางครั้งได้คณะกรรมการบริหารที่ไม่มีคุณสมบัติ ความเชี่ยวชาญ
การคัดเลือก สรรหา และแต่งตั้งบุคลากร มีการใช้ระบบอุปถัมภ์ มีการเล่นพรรคเล่นพวก ระบบการประเมินผลเจ้าหน้าที่บางแห่งยังไม่โปร่งใส มีระบบพรรคพวก ใช้ระบบการประเมินผลการทำงานเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม
ระบบการบริหารและโครงสร้าง องค์การมหาชนประเภทบริการสาธารณะ จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้บริหารในระดับกระทรวงมากกว่าการให้รัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลโดยตรง เพื่อที่กระทรวงกำหนดเป้าหมาย มาตรฐานการให้บริการสาธารณะที่เหมาะสม และลดความสับสนในการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือรัฐมนตรีเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ส่วนอีกสองประเภทเห็นควรให้รัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี หรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องหรือที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเป็นผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแล
ทั้งนี้ ควรจัดตั้งองค์การมหาชนเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ประเภทองค์กรที่ให้บริการสาธารณะทั่วไป จะไม่มีการยุบเลิกจนกว่าหน่วยงานกำกับจะเห็นว่าบริการสาธารณะนั้นๆ หมดความจำเป็น
2. ประเภทที่กำหนดระยะเวลาคือ องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินภารกิจที่สำคัญของประเทศ ที่มีระยะเวลาชัดเจน เมื่อดำเนินการครบตามภารกิจก็ให้ยุบเลิก
3. เพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามมติ ครม. เพื่อดำเนินภารกิจสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละยุคแต่ละสมัย ต้องเป็นภารกิจที่ไม่มีหน่วยงานของรัฐรับผิดชอบอยู่ ภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล
ไทม์ไลน์ของ สปช.วางไว้ 4 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนภายในปี′58 ระยะสั้น ปี"58-60 ระยะกลาง ปี′61-62 ระยะยาว (ปี"63-68)
เป็นลายแทงให้ ก.พ.ร. เดินตามหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ขีดเส้นปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการภายใน 3 เดือน
ขอขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานพิเศษ