ยกคำร้อง ยิ่งลักษณ์ไปนอกสองครั้งรวดเจตนากักบริเวณ-หนียาก !!
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เรียบเรียงโดยทีมงาน www.legendnews.net
ในมุมของศาลยุติธรรมอาจมองว่า"กันไว้ก่อน"และมองเห็นว่า"ไม่มีเหตุอันควร"สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องเดินทางออกนอกประเทศในช่วงเวลานี้ จึงได้ยกคำร้องไม่ให้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 15-25 ธันวาคม โดยอ้างว่าจะพาลูกชายไปทัศนศึกษา อย่างไรก็ดีหากพิจารณาให้ลงลึกไปอีกจะพบว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน โดยก่อนหน้านี้เธอเคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อขอเดินทางไปประเทศเบลเยี่ยม คราวนั้นอ้างว่าไปตามคำเชิญของ สส.ในรัฐสภาสหภาพยุโรปที่เชิญไปแลกเปลี่ยนสถานการณ์ที่นั่น ซึ่งศาลก็ไม่อนุญาตด้วยเหตุผลเดียวกันมาก่อนแล้ว
แน่นอนว่าหากมองในแง่ร้ายสำหรับเธอ ที่ถูกมองว่าการขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศแบบนี้เป็นแผนสำหรับการหลบหนีคดี ซ้ำรอยพี่ชายของเธอ คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่ในตอนนั้นขออนุญาตไปร่วมพิธีเปิดมหากรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ระหว่างที่ใกล้จะถึงวันตัดสินคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ที่ถูกจำคุก 2 ปี แต่ก็หลบหนีคุกตะราง รวมทั้งคดีทุจริตอีกหลายคดีมาจนถึงบัดนี้
สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เธอมีคิวต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ศาลมีกำหนดไต่สวนในคดีเป็นเจ้าพนักงานละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปล่อยปละละเลยจนก่อให้เกิดความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว โดยมีคิวขึ้นศาลในราวกลางเดือนมกราคมปีหน้าหรือกลางเดือนหน้านี้แล้ว
ขณะเดียวกันในคดีทางแพ่งโครงการรับจำนำข้าว ล่าสุดในส่วนของคณะกรรมการพิจารณาสรุปความเสียหายของกระทรวงการคลังมีมติไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมพยาน และกำหนดให้ต้องมาให้ปากคำภายในสิ้นเดือนนี้ จากนั้นคาดว่าภายในต้นเดือนหน้าก็สามารถสรุปความเสียหายเพื่อเสนอต่อหน่วยเหนือลงนามรับรองต่อไป นี่ก็ถือว่างวดเข้ามาทุกที จะยื้อต่อไปด้วยการเสนอเพิ่มจำนวนพยานแบบไม่จำกัดอีกไม่ได้แล้ว อีกทั้งยังกลบข้อกล่าวหาก่อนหน้านี้ว่ารวบรัดพิจารณาก็ไม่ได้อีกต่อไปเช่นเดียวกัน เพราะมีการขยายเวลามาไม่รู้กี่สิบครั้งแล้ว
อย่างไรก็ดีหากมองในมุมของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มองเข้าไปในความรู้สึกข้างในหัวใจของเธอมันก็น่าเห็นใจเหมือนกัน หากพิจารณากันในด้านความรับรู้และสติปัญญาของเธอ รวมไปถึงการพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่รับรู้มันก็เหมือนกับ"พี่ๆรังแกฉัน" เริ่มจากประสบการณ์ทางการเมือง 49 วันก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จนมาถึงคำให้สัมภาษณ์ของ พี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่ยืนยันว่านโยบายแทบทั้งหมดโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่เขาอวดอ้างด้วยความภาคภูมิใจว่ามาจากมันสมองของเขาล้วนๆ และที่สำคัญเขาชักใยเชิดน้องสาวมาเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อเกิดความเสียหาย เพราะต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ในฐานะผู้นำผู้บริหารตามกฎหมายในฐานะนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ และแน่นอนว่าคดีแรกที่อยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นคดีอาญา ใช้เวลาไม่นานก็รู้ผล ซึ่งก็คือเสี่ยงคุกเหมือนกับที่พี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร เจออยู่ในเวลานี้ เพียงแต่หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ทันเท่านั้น ส่วนอีกคดีในเรื่องเดียวกัน เป็นคดีทางแพ่ง เป็นเรื่องค่าเสียหาย หากมีความผิดก็ต้องชดใช้ค่าเสียหาย แม้ว่าในท้ายที่สุดคดีจะไปจบที่ศาลต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ แต่มีการประมาณความเสียหายเบื้องต้นเอาไว้ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท หากไม่จ่ายหรือไม่มีจ่ายก็ต้องถูกยึดทรัพย์
ดังนั้นเมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แบบนี้มันก็น่าเห็นใจสำหรับเธอไม่ได้น้อย และรับรองว่าก่อนหน้านี้ตัวเธอก็คงคาดไม่ถึง รวมไปถึงพี่ชายและครอบครัวของเธอก็ไม่คิดว่าจะมีชะตากรรมแบบนี้ เพราะมันกลับตาลปัตรพลิกผันแบบสุดขั้ว แต่หากจะโทษก็ต้องโทษ ทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่เคยผ่อนปรน ไม่เคยสรุปบทเรียนยังคิดใช้อำนาจรัฐผลักดันออกกฎหมายเพื่อล้างความผิดให้กับตัวเองจากสาเหตุ"พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมสุดซอย"ต้นเป็นต้นเหตุการลุกฮือขับไล่และมีชะตากรรมเช่นทุกวันนี้
หากย้อนกลับมาพิจารณาคำสั่งศาลที่ยกคำร้องขอเดินทางออกนอกประเทศในช่วงนี้ มันก็เหมือนกับการกักบริเวณ ห้ามเคลื่อนไหวเปะปะ แม้ว่าเรายังไม่อาจสรุปได้ว่าหากปล่อยให้เดินทางไปแล้วจะไม่กลับมา หรือ"หนี" เพียงแต่หากพิจารณาจากความเป็นไปได้ และนึกย้อนทบทวนจากบทเรียนของ ทักษิณ ชินวัตร มันก็มีความเป็นไปได้ ขณะเดียวกันหากมองในมุมต้องการหลบหนีมันก็คงหนียาก เพราะเขารู้แกว นอกเหนือจะใช้วิธีการแบบอื่น !!
ที่มา MGR Online