พบชาย “หัวใจโต” กินเนื้อที่ช่องอก 80%
วันพฤหัสบดี ที่ 25 สิงหาคม 2559 เรียบเรียงโดยทีมงาน www.legendnews.net
วารสารวิชาการด้านการแพทย์ นิวอิงแลนด์ เจอร์นัล ออฟ เมดิซีน ซึ่งจัดพิมพ์โดยสมาคมแพทย์แห่งแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ฉบับประจำวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา เผยแพร่รายงานสรุปของกรณีผู้ป่วยชายวัย 57 ปีที่ต้องเข้าพบแพทย์หลังจากเกิดอาการบวมตามแขนขา แต่เมื่อตรวจสอบด้วยการสแกนภายในเพื่อวินิจฉัยโรค แพทย์พบว่าต้นเหตุของอาการดังกล่าวเกิดจากอาการผิดปกติอย่างรุนแรงของหัวใจของผู้ป่วยรายนี้
ความผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นกับหัวใจห้องบนขวา (ไรท์ เอเทรียม-อาร์เอ) ที่ขยายใหญ่ผิดปกติ ทำให้โดยรวมแล้วขนาดของหัวใจใหญ่โตมาก โดยมี “คาร์ดิโอโธราซิซ เรโช” หรืออัตราส่วนความกว้างของหัวใจอยู่ที่ 0.82 ซึ่งหมายความว่าหัวใจของผู้ป่วยรายนี้ขยายออกจนกินเนื้อที่ช่องอกถึง 82 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่สัดส่วนปกติของคนทั่วไปนั่นต่ำกว่า 0.5 หรือไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ช่องอกเท่านั้น
นายแพทย์ เดวิด มาจดัลลานี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์โรคหัวใจแต่กำเนิดในผู้ใหญ่ของคลีฟแลนด์คลินิก รัฐโอไฮโอ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรณีของผู้ป่วยรายนี้ ระบุว่ากรณีที่เกิดขึ้นนี้ถือว่าพบได้ยากมาก แพทย์ที่ตรวจรักษาเชื่อว่าน่าจะเป็นมาแต่กำเนิด แต่นายแพทย์มาจดัลลานีชี้ว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ หัวใจห้องบนขวาของคนเรา ทำหน้าที่รับเลือดดำจากทั่วร่างกาย แล้วปั๊มผ่านหัวใจห้องล่างขวาเพื่อส่งไปยังปอดให้ทำหน้าที่ฟอกเลือดต่อไป ในกรณีที่เลือดไหลเข้าไปในห้องบนขวานี้มากเกินไป ก็ทำให้เกิดการขยายตัวเพื่อรองรับปริมาณเลือดให้เพียงพอได้เช่นกัน นอกจากนั้นอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุการผิดปกติของแรงดันในหัวใจห้องบนขวาที่สูงเกินไปก็ได้ เช่นเดียวกับสาเหตุจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ที่ทำให้เลือดไปค้างอยู่ในห้องบนขวามากๆ เพิ่มแรงดันให้สูงขึ้น ทำให้ห้องหัวใจห้องนี้ขยายตัวโตตามไปด้วยในที่สุด
เมื่อหัวใจห้องบนขวาขยายตัวด้วยแรงดันภายในสูงขึ้น จะทำให้เลือดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่สามารถกลับคืนสู่หัวใจได้ในอัตราปกติ ทำให้เกิดอาการบวมขึ้นตามอวัยวะส่วนล่างของร่างกาย โดยเฉพาะตามขาและเท้า เหมือนที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยรายนี้
ปัญหาอีกอย่างที่จะเกิดขึ้นตามมาเมื่อการไหลเวียนของเลือดกลับสู่หัวใจได้ช้าลงก็คือ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุดตันจากลิ่มเลือดได้สูงกว่าปกติ ลิ่มเลือดเหล่านี้อาจเกิดอุดตันบริเวณขา เท้า หรืออาจเคลื่อนไปกับกระแสเลือดเข้าสู่หัวใจ หรือหากพบช่องทางที่เหมาะสมก็อาจขึ้นไปสู่สมอง ซึ่งเมื่อเกิดอุดตันขึ้นก็จะก่อให้เกิดภาวะสโตรค หรือภาวะอุดตันหรือแตกของเส้นเลือดเลี้ยงสมองที่ก่ออันตรายถึงชีวิตได้
นายแพทย์มาจดัลลานีระบุว่า การรักษาอาการหัวใจโตทำนองนี้ จำเป็นต้องรักษาตามต้นเหตุที่เป็นที่มาของการโต เช่นถ้าเกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจก็ต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติดังกล่าว หรือถ้าเกิดจากการเต้นผิดปกติของหัวใจก็ต้องใช้กระบวนการปรับจังหวะการเต้นให้ถูกต้อง หรือในบางกรณีอาจต้องผ่าตัดลดขนาดโดยตรง
ในกรณีของผู้ป่วยรายนี้ แพทย์ผู้รักษาไม่ได้ผ่าตัดใดๆ เพียงให้ยาป้องกันภาวะอุดตันของลิ่มเลือด และที่ผ่านมาอาการไม่ได้แย่ลงแต่อย่างใด
ที่มา www.matichon.co.th/news/261822