ReadyPlanet.com
dot dot
dot

dot
ตราครุฑ




เปิดผลวิจัยร้อน 'NGOไทย' 40ปี รับเงินต่างชาติแสนล้าน

 เปิดผลวิจัยร้อน 'NGOไทย' 40ปี รับเงินต่างชาติแสนล้าน

ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2545

เปิดผลศึกษา สกว. ระบุไทยมีองค์กรเอ็นจีโอ 18,000 แห่ง แต่ที่ทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์จริงๆ มีแค่ 953 แห่ง ชี้แหล่งที่มารายได้ส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาคทั้งในและต่างประเทศ 1,835 ล้านบาท/ปี ขณะที่มีรายจ่าย 364 ล้านบาท/ ปี พร้อมเปิดตัวเลขเงินบริจาคของต่างชาติในช่วงแผนฯ 1-8 เฉลี่ย 1 หมื่นล้านบาท/แผน

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงผลงานวิจัยของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำรายงาน 'โครงการวิจัยภาคองค์กรสาธารณประโยชน์ในประเทศไทย' เพื่อเสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ว่า รายงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะประมวลข้อมูลของภาคองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ไม่แสวงกำไรหรือเอ็นจีโอในประเทศไทย ทั้งขนาด ขอบเขตการทำงาน โครงสร้างการเงินและสถานะเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงพัฒนาการของบทบาทของเอ็นจีโอที่ควรจะต้องดำเนินการและต้องปรับปรุงในอนาคต

รายงานดังกล่าวได้แบ่งกลุ่มเอ็นจีโอออกเป็น 10 กลุ่มหลัก มีเอ็นจีโอทั้งสิ้น 1,493 องค์กร มีทำเลที่ตั้งในกรุงเทพฯมากสุด 721 องค์กร คิดเป็น 48.29% และที่เหลือกระจายอยู่ในภาคเหนือและภาคอีสานตามลำดับ ส่วนภาคใต้มีน้อยที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าองค์กรมักจะตั้งในทำเลพื้นที่ที่มีปัญหามาก ดังนั้น ในกรุงเทพฯจึงเป็นแหล่งที่มีปัญหามากที่สุด แต่ทั้งนี้จำนวน 1,493 องค์กรนี้ยังมีความซ้ำซ้อนในการทำงานใน 10 กลุ่มหลักอยู่ค่อนข้างมากถึง 35% ดังนั้น จะมีเอ็นจีโอเพียง 953 องค์กร และในรายงานได้ระบุว่ามีคนทำงานเฉลี่ยองค์กรละ 14 คน ดังนั้น จะมีเอ็นจีโอ 13,342 คน

แต่ถ้าวัดจากตัวเลขที่ยื่นขอจดทะเบียนในรูปมูลนิธิและสมาคม กับสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติในปัจจุบันมี 17,000 องค์กร บวกกับจำนวนเอ็นจีโอที่ไม่ได้จดทะเบียนซึ่งคาดว่ามีประมาณ 1,000 องค์กร รวมแล้วมีเอ็นจีโอ 18,000 องค์กร และส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่ตายแล้ว กล่าวคือ ร้อยละ 80-90 น่าจะไม่มีบทบาทอะไรนัก เพราะเป็นการจัดตั้งเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น ในความเป็นจริงไม่ได้ทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะที่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทำเป็นครั้งคราวและเล็กๆ น้อยๆ ในรายงานจึงระบุว่าอาจจะมีเพียง 10% เท่านั้นที่นับเป็นเอ็นจีโอจริงๆ เพราะฉะนั้น หากเอาจำนวน 18,000 องค์กรคูณจำนวนคนทำงานเฉลี่ย 14 คน/องค์กร จะมีเอ็นจีโอ 252,000 คน

รายงานยังได้ระบุต่อว่า นอกจากเจ้าหน้าที่เอ็นจีโอที่มี 252,000 คนแล้ว ยังบวกจำนวนอาสาสมัครช่วยทำงานทั้งหมดในภาคเอ็นจีโออีก 306,000 คน เพราะฉะนั้น มีจำนวนเอ็นจีโอและอาสาสมัครรวมทั้งสิ้น 558,000 คน

ค่าใช้จ่ายเอ็นจีโอ 364 ล้านบาท/ปี

ในรายงานได้สำรวจพบว่าเอ็นจีโอที่ไม่จดทะเบียนส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายต่อปีต่อองค์กร 1,239,736 บาท ขณะที่เอ็นจีโอที่จดทะเบียนในรูปมูลนิธิและสมาคม ที่ส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่ไม่ได้ตื่นตัวและมักเป็นองค์กรที่เหมือนตายแล้ว พบว่ามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยองค์กรละ 347,164 บาทต่อปี เมื่อรวมทั้งองค์กรที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียนเข้าด้วยกัน จะได้ค่าเฉลี่ยต่อปีต่อองค์กร 382,698 บาท

ดังนั้น รายงานวิจัยนี้จึงนำตัวเลขดังกล่าวมาใช้คำนวณหาค่าใช้จ่ายรวมของเอ็นจีโอ 10 กลุ่มหลักที่มีจำนวน 1,412 องค์กร มีค่าใช้จ่ายรวม 540 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของการใช้จ่ายในภาคครัวเรือน แต่ถ้านับเฉพาะเอ็นจีโอที่ขจัดความซ้ำซ้อนออกไปแล้ว ตามที่กล่าวข้างต้น 953 องค์กรคูณด้วยค่าใช้จ่าย 382,698 บาท จะพบว่าเอ็นจีโอของไทยมีรายจ่าย 364 ล้านบาท/ปี แต่ถ้านับเอาเอ็นจีโอทั้งหมด 18,000 องค์กรมาคำนวณจะพบว่า เอ็นจีโอทั้งหมดมีรายจ่าย 6,888 ล้านบาท/ปี ซึ่งรายงานระบุว่าความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดและใกล้เคียงข้อเท็จจริงมากที่สุดน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายของเอ็นจีโอที่ขจัดความซ้ำซ้อนแล้ว 953 องค์กร

รายได้เอ็นจีโอ 1,835 ล้านบาท/ปี

รายงานชิ้นนี้ได้ระบุถึงรายได้โดยเฉลี่ยของเอ็นจีโอว่ามีประมาณ 1,925,814 บาท/ปี ขณะที่รายจ่ายเฉลี่ยประมาณ 1,112,598 บาทต่อปี ทำให้เอ็นจีโอมีเงินออมที่อยู่ในรูปเงินฝากธนาคารสูงกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินขององค์กร ดังนั้น เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจทำให้ดอกเบี้ยต่ำ จึงกระทบต่อภาคเอ็นจีโอค่อนข้างมากต่อรายได้และรายจ่าย

ซึ่งการคำนวณรายได้ ถ้านับตามจำนวนเอ็นจีโอ 1,412 องค์กร คูณรายได้เฉลี่ยดังกล่าวจะมีรายได้ 2,719.24 ล้านบาท/ปี แต่ถ้าใช้จำนวน 953 องค์กร จะมีรายได้ 1,835 ล้านบาท/ปี แต่ถ้าใช้จำนวน 18,000 องค์กร จะมีรายได้ 34,664 ล้านบาท แต่ผู้ศึกษาระบุว่าความน่าจะเป็นของขนาดรายได้คือ 1,853 ล้านบาท/ปี

ทั้งนี้แหล่งที่มาของรายได้มาจาก 1.มาจากภาครัฐบาล 2.มาจากการบริจาคทั้งจากมูลนิธิ ธุรกิจและเงินบริจาคจากบุคคลทั่วไป และ 3.มาจากการคิดค่าธรรมเนียมและค่าให้บริการ รายงานกล่าวว่า สัดส่วนของแหล่งรายได้ของเอ็นจีโอในประเทศที่พัฒนาแล้วจะแตกต่างจากประเทศที่กำลังพัฒนามาก ซึ่งเหตุผลหลักน่าจะมาจากความแตกต่างในระดับการพัฒนาหรือมาตรฐานขององค์กรในภาคนี้ ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีมาตรฐานสูง มีความโปร่งใส มีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีโนว์ฮาว ขณะที่กลุ่มที่กำลังพัฒนายังไม่ค่อยได้มาตรฐานสากล มีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส ขาดการบริหารจัดการที่ดีและขาดโนว์ฮาว เช่นประเทศไทยเอ็นจีโอส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่ไม่ค่อยตื่นตัว เป็นองค์กรที่ไม่ถาวรยั่งยืนและยังขาดความเข้าใจหรือแสดงบทบาทของตนเองไม่ชัดเจน ยังมีปัญหาขาดความน่าเชื่อถือหรือยังมีภาพลบในสายตาสาธารณชนทั่วไป

เอ็นจีโอรับเงินต่างชาติเยอะแค่ไหน

ในรายงานดังกล่าวสรุปถึงแหล่งที่มาของรายได้ของเอ็นจีโอในประเทศไทยในอดีตว่ามาจากการ บริจาคทั้งในและต่างประเทศประมาณ 90% โดยแบ่งเป็นกว่า 60% มาจากเงินบริจาคจากต่างประเทศ และน้อยกว่า 40% มาจากเงินบริจาคในประเทศ แต่ในปัจจุบันแหล่งรายได้ของเอ็นจีโอมาจากเงินบริจาคจากในประเทศและต่างประเทศลดลงเหลือ 70% แบ่งเป็นมาจากต่างประเทศและในประเทศในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ส่วนที่เหลือมาจากภาครัฐบาล 20% ส่วนอีก 10% มาจากการคิดค่าธรรมเนียมที่บริการให้แก่เอกชน

รายงานยังได้สรุปความช่วยเหลือที่ประเทศไทยได้รับจากต่างประเทศในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-8 ว่า ในแผนฯที่ 1 จำนวน 155 ล้านเหรียญหรือประมาณ 3,100 ล้านบาท (20 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 2 จำนวน 280 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 5,611 ล้านบาท (20 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 3 จำนวน 173 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 3,468 ล้านบาท (20 บาท/ เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 4 จำนวน 504 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 10,087 ล้านบาท (20 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 5 จำนวน 842 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 22,085 ล้านบาท (26.2 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 6 จำนวน 1,904 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 27,913 ล้านบาท (25.5 บาท/เหรียญสหรัฐ) แผนฯที่ 7 จำนวน 715 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 18,235 ล้านบาท (25.5 บาท/เหรียญสหรัฐ) และแผนฯที่ 8 (ช่วงปี 2540-41) จำนวน 218 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 7,822 ล้านบาท (36 บาท/ เหรียญสหรัฐ)

สำหรับกลุ่มเอ็นจีโอ 10 กลุ่มหลักได้แก่ 1.กลุ่มวัฒนธรรมและสันทนาการ (15 องค์กร) 2.กลุ่มการศึกษาและวิจัย 52 องค์กร) 3.กลุ่มสาธารณสุข (529 องค์กร) 4.กลุ่มบริการสังคม (182 องค์กร) 5.กลุ่มสิ่งแวดล้อม (168 องค์กร) 6.กลุ่มการพัฒนาและการเคหะ (174 องค์กร) 7.กลุ่มกฎหมายและการเรียกร้องและการเมือง (95 องค์กร) 8.กลุ่มการกุศลและอาสาสมัคร (44 องค์กร) 9.กลุ่มกิจกรรมระหว่างประเทศ (119 องค์กร) และกลุ่มศาสนา (34 องค์กร)

นาง"รตยา จันทรเทียร" ขวางพระปลีกวิเวก เข้าพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อ้างเป็นเขตมรดกโลกรู้หรือเปล่า

รู้หรือเปล่าคำนิยามมรดกโลก ก็คือเพื่อการท่องเที่ยวและอย่างอื่น

เรื่องหนึ่งที่นางรตยา จันทรเทียร นางนี้ไม่เห็นด้วยเอาเสียเลยคือ การเข้าไปใช้ประโยชน์จากป่าโดยคนข้างนอกที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับป่า

โดยเฉพาะประเด็นล่าสุดที่กำลังเป็นข้อถกเถียง นางรตยา จันทรเทียร ประธาน มูลนิธิสืบฯ ตกเป็นข่าวสู่ประชาชนชาวพุทธทั่วประเทศ ว่าด้วยการคุกคามขัดขวางพระไม่ให้เข้าไปปลีกวิเวกและบำเพ็ญตนในป่า

ประเด็นล่าสุดที่กำลังเป็นข้อถกเถียง และมูลนิธิสืบฯ เองตกเป็นผู้ต้องหา ว่าด้วยการคุกคามขัดขวางพระไม่ให้เข้าไปปลีกวิเวกและบำเพ็ญตนในป่า

"ในสมัยก่อน นางรตยา จันทรเทียรอ้างว่า พระที่เข้าไปแสวงหา หรือบำเพ็ญภาวนาในป่า ท่านก็จะเข้าไปเพียงรูปเดียว หรืออาจจะมีลูกศิษย์ ผู้ติดตามเข้าไปด้วย ไม่เกิน 3 คน วันแต่สมัยนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น การเข้าไปแสวงหาความหลุดพ้นในป่า มักจะยกขบวนเข้าไปทีละมากๆ มีเครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวกมากมาย ไม่มีแล้วที่จะเข้าไปแสวงหาความสงบเพียงลำพังเหมือนในอดีต"


เธอบอกว่า ค่อนข้างลำบากใจกับการที่คนแก่อย่างเธอ จะออกมาสนับสนุนการผลักดันสำนักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ให้ออกจากป่า รวมทั้งกีดกันการเข้าไปปลีกวิเวกในป่าของเหล่าพระสงฆ์องค์เจ้า เพราะวัย 80 ปี ย่อมเป็นวัยที่ต้องเข้าหาพระหาเจ้ากันแล้ว พระต้องการจะทำอะไรเพื่อให้บรรลุธรรม ควรจะสนับสนุนตามประสาพุทธศาสนิกชนที่ดี ทั้งนี้มีพระสงฆ์ส่วนหนึ่งที่ยังมีความเชื่อและความต้องการที่จะเข้าป่า เพื่อฝึกจิตและบำเพ็ญตนให้บรรลุธรรม การแสดงความเห็นและมีจุดยืนแบบนี้ไม่เหมาะสมกับวัยเอาเสียเลย

"ป่า ก็ถือเป็นบ้านของสัตว์ ถ้าเราคิดให้ดีๆ ลองถามตัวเองเอาเถิดว่า กรณีของการเดินธุดงค์ของพระในป่านั้นเดินไปเป็นขบวน ป่าที่เคยสงบก็เหมือนมีผู้บุกรุก สัตว์ที่เคยอยู่ในที่ของเขาก็ต้องหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะถูกคนบุกรุกบ้าน หากใครมาบุกบ้านเรา จนทำให้เราต้องหนีไปอยู่ที่อื่นเราจะชอบใจไหม คนซึ่งถือเป็นผู้เจริญแล้วควรจะทำไหม"


ผู้อาวุโส บอกว่า เธอก็เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่งที่ปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ และมีความเชื่อในวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ที่เจริญภาวนาสมาธิกลางป่าในอดีต นำเอาประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการศึกษาเหล่านั้นมาสั่งสอนคนรุ่นหลังจนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน การใช้วิธีการแบบเดิมย่อมไม่เหมาะสมอีกแล้ว

ถ้าจะมีคนตั้งคำถามว่า มีคนพาล หรือคนไม่หวังดีต่อป่าเข้าไปทำร้ายป่า ล่าสัตว์ ตัดไม้อยู่เยอะแยะทำไมไม่ไปจัดการตรงนั้น กลับมาค้านเล็กค้านน้อยกับพระซึ่งมีอยู่น้อยมากๆ ทำไม อาจารย์จะตอบคำถามนี้อย่างไรคะ

เธอยิ้ม ก่อนจะบอกว่า ใครก็ตามที่ทำไม่ถูกคนที่มีหน้าที่จะต้องทำอะไรกับคนเหล่านี้ก็ต้องเคลื่อนไหว ต้องเข้าไปจัดการทั้งสิ้น

"ลองคิดอีกที ในแง่ของศีล 5 การที่เราต้องการจะแสวงหาความสงบ หรือต้องการบรรลุธรรม แต่ต้องแลกกับความสูญเสียของผู้อื่น ต้องทำให้สัตว์ป่าเดือดร้อน เขาต้องหนีไปอยู่ที่อื่น ซึ่งอาจถูกสัตว์อื่นกิน หรือทำร้าย แต่เราบรรลุธรรม เราได้คำตอบในสิ่งที่เราแสวงหา ถามว่า การได้มาของสิ่งเหล่านี้มีวิถีที่ถูกต้องแล้วหรือยัง"

เป็นคำถาม ที่ทิ้งไว้ให้ เชื่อว่าหลายคนคงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว 

นิทานเซน : ยื้อไว้ไม่ยอมตาย กับ มีชีวิตอยู่อย่างดี

ในวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด มวลดอกไม้รอบบริเวณอารามเซนโดนแดดเผาจนเหี่ยวเฉา เมื่อเณรน้อยเห็นดังนั้น จึงกล่าวด้วยความตกใจว่า "แย่แล้ว ต้องรีบรดน้ำพวกมันสักหน่อย" จากนั้นจึงรีบยกถังไปตักน้ำตั้งท่าจะนำมารดต้นดอกไม้
       
       เมื่ออาจารย์เซนเห็นเหตุการณ์จึงกล่าวห้ามว่า "จงอย่ารีบร้อนไป ตอนนี้แสงแดดแรงมาก หากรดน้ำลงไป เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น จะพาลให้ต้นดอกไม้ตายเป็นแน่ จงรอให้ถึงยามค่ำก่อนเถิดค่อยรดน้ำ"
       
       ยามค่ำ เหล่าดอกไม้ที่โดแดดมาทั้งวันล้วนแห้งเหี่ยว เณรน้อยจึงบ่นว่า "ไม่รีบรดน้ำให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้ดอกไม้พวกนี้คงแห้งตายไปหมดแล้ว ต่อให้รดน้ำยังไงก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก"
       
       อาจารย์เซนได้ยินจึงปรามว่า "อย่าพูดมาก รดน้ำไป!"
       
       เมื่อได้น้ำที่ชุ่มฉ่ำราดรดลงไป ไม่นานเหล่าดอกไม้ก็กลับมาชูช่อดังเดิม เณรน้อยเห็นดังนั้นจึงอุทานด้วยความยินดีว่า "โอ้โฮ ดอกไม้เหล่านี้ช่างทนยิ่งนัก ยังสามารถยื้อไว้ไม่ยอมตาย"
       
       ทว่าอาจารย์เซนกล่าวแย้งว่า "เหลวไหล มิใช่ยื้อไว้ไม่ยอมตาย แต่เป็นการมีชีวิตอยู่อย่างดีต่างหาก"
       
       "แล้วมันต่างกันอย่างไร?" เณรน้อยถามด้วยความงุนงง
       
       อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า "ย่อมต่างกัน เราถามเจ้า ปีนี้เราอายุ 80 กว่าแล้ว เรียกว่าเรายื้อไว้ไม่ยอมตาย หรือ มีชีวิตอยู่อย่างดี?"
       
       หลังจากเสร็จสิ้นการทำวัตรเย็น อาจารย์เซนเรียกเณรน้อยมาพบ ทั้งยังถามถึงเรื่องที่ค้างไว้ว่า "เป็นอย่างไร คิดออกแล้วหรือไม่?"
       
       "คิดไม่ออกครับ" เณรน้อยตอบ
       
       อาจารย์เซนจึงอธิบายว่า "เด็กโง่ ผู้ที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเอาแต่กลัวความตาย ย่อมเรียกว่า ยื้อไว้ไม่ยอมตาย ส่วนผู้ที่มองไปข้างหน้าในทุกๆ วันจึงเรียกว่ามีชีวิตอยู่อย่างดี เมื่อมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันก็ต้องใช้มันให้ดีที่สุด ผู้ที่ยามมีชีวิตเอาแต่กลัวความตาย เอาแต่จุดธูปสวดมนต์ภาวนาเพื่อหวังว่าตายแล้วจะกลายเป็นพุทธะล้วนไม่มีทางเป็นพุทธะ" จากนั้นจึงกล่าวว่า " วันนี้มีชีวิตอยู่แล้ว แต่กลับไม่ตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี เมื่อตายไปฟ้าก็คงไม่ประทานชีวิตที่ดีกว่ามาให้หรอก"

เอ็น.จี.โอ.สายอนุรักษ์ ไม่เห็นด้วย ยกเลิกมรดกโลก

ไม่ง้อมรดกโลก วธ.ยันแนวทางรักษามรดกไทย

          ชี้ไทยถอนตัวมรดกโลกไม่กระทบแนวทางอนุรักษ์พื้นที่ คุณค่าโบราณสถาน-แหล่งวัฒนธรรมก็ยังคงอยู่เช่นเดิม ไม่จำเป็นพึ่งป้ายมรดกโลก เผยเดินหน้าร่วมมือท้องถิ่นคุ้มครองสมบัติชาติต่อไป

          เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน นายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวถึงกรณีประเทศไทยประกาศถอนตัวออกจากการเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาการคุ้มครองมรดกโลก ว่า เตรียมหารือกับนางโสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดินทางกลับประเทศไทยแล้วจะประชุมด่วนเพื่อเรียกหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ารับทราบถึงแนวทางปฏิบัติให้ถูกต้อง ทั้งในส่วนอุทยานประวัติศาสตร์ที่ยูเนสโกขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้ว รายการที่ส่งเอกสารขึ้นบัญชีชั่วคราวแล้ว คือ อุทยานภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี และเส้นทางอารยธรรมขอม ปราสาทหินพิมาย-พนมรุ้ง ตลอดจนรายการที่อยู่ระหว่างการจัดทำเอกสารประกอบการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก 5 แหล่ง คือ วัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ภูมิทัศน์สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ผลงานสถาปัตยกรรมในกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระปฐมเจดีย์ และเส้นทางวัฒนธรรมล้านนา ทั้งนี้ การถอนตัวออกจากคณะกรรมการมรดกโลกก็จะไม่มีผลกระทบต่อแนวทางอนุรักษ์พื้นที่ และการเรียนรู้ศึกษาคุณค่าทางวิชาการอย่างแน่นอน

          นายอเนก กล่าวว่า แม้ว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรมทั้งหมดจะต้องยกเลิกไป แต่เรื่องการอนุรักษ์ทั้งการบูรณะซ่อมแซมและการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อปกป้องคุ้มครองโบราณสถานสำคัญของชาติ ก็ยังคงดำเนินการต่อไปภายใต้หลักวิชาการและกฎหมาย อีกทั้งยังสามารถรักษาคุณค่าความสำคัญไว้ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งป้ายมรดกโลก ที่ผ่านมายูเนสโกช่วยเหลือในการจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่ เช่น ไม่สร้างสิ่งใหม่ขึ้นเป็นสิ่งแปลกปลอมเพื่อรักษาความเป็นของแท้ดั้งเดิมไว้ มีการส่งผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาแนะนำ แต่ไม่ได้มีงบประมาณสนับสนุนแต่อย่างใด

          "ผมทำงานด้านโบราณสถาน 30 กว่าปี มองว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องพึ่งพามรดกโลก เราก็สามารถดูแลรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมได้ไม่มีตกหล่นหายไป เช่น ที่วัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เป็นโบราณสถานทางพระพุทธศาสนา มีอายุเก่าแก่นับพันปี ขณะนี้จัดทำเอกสารขอขึ้นทะเบียนใกล้เสร็จแล้ว ก็จะหารือกับทางจังหวัดให้เดินหน้าตามแผนอนุรักษ์โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกหรือไม่ แต่เน้นให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากที่สุด" รองอธิบดีกรมศิลปากรเผย

          นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า สัปดาห์นี้เตรียมนัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าการถอนตัวครั้งนี้จะมีผลกระทบอย่างไรต่อแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติของไทย 2 แห่งที่ขึ้นทะเบียนไปแล้ว คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ แต่เชื่อว่าการมีป้ายมรดกโลกหรือไม่มีป้ายมรดกโลก ก็คงไม่ส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวในพื้นที่แน่นอน โดยเฉพาะคนไทยรับรู้ถึงคุณค่าความสำคัญของแหล่งท่องเที่ยว ว่ามีความงดงามและสร้างความประทับใจได้มากกว่าการมีสัญลักษณ์การเป็นมรดกโลกอย่างแน่นอน

          "อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ต้องรอคำสั่งที่ชัดเจนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อน ว่าจะมีผลของคำสั่งทางกฎหมายเรื่องความเป็นมรดกโลกทั้ง 2 แหล่งหรือไม่ ส่วนทะเลอันดามันที่อยู่ระหว่างการสำรวจและศึกษาเพื่อจัดทำเอกสารประกอบการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางทะเลแห่งแรก รวมทั้งกลุ่มป่าแก่งกระจาน ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว คาดว่าคงไม่กระทบเช่นกัน" นายสุนันต์เผย
นักวิชาการและประชาชนผู้รู้กลุ่มองค์กรเอ็นจีโอไทย ต่างให้ความเห็นว่า

การยกเลิกมรดกโลกของประเทศไทย เป็นการปิดเส้นทางเอ็นจีโอชั่วและวงการข้าราชการระดับสูง ของกระทรวงทรัพย์บางคน หากินรับเงินต่างชาติ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ไทยเสียดินแดน ด้านเขมรและกำลังก่อปัญหาชายแดนด้านตะวันตก ขับไล่ชาวบ้านออกจากเขตแดน เป็นแผ่นล่าเมืองขึ้นแนวใหม่ทำลายมิตรเพื่อนบ้านก่อปัญหาให้เกิดสงครามแล้วเข้าแทรกแซงให้บังเกิดสงครามแย่งชิงดินแดนดังปัญหาคำพังเผยการขัดแย้งของ ตาอิน กับ ตานา

 

 

ครบรอบ 20 ปี มรดกโลก  หรือ มรดกไทย

คนนครปฐมรู้ทัน คนเมืองกาญจน์ฯวิจารณ์

 

ความรู้เรียนกันทัน    นอกจากผิดชอบชั่วดี

ดำรงชีวิต               สุจริต                  ไม่สิ้นคิด

   ถึงชีวิต                   สูงวัย                  ไม่ใจทราม

เป็นคนดี                ของสังคม             ไม่ทำชั่ว

    เน้นสำนึก               ตามกฎหมาย        ไม่ก่อกรรม

องค์กร เอ็น.จี.โอ. ชั่วหรือดี

 

 

มูลนิธิแสบ           ทำอะไร               ใครก็รู้             

ขวางทุกเรื่อง        ค้านทุกอย่าง         อีใจสัตว์

อ้างคนตาย           ผลาญตนเอง         วีรกรรม

เขาอมทุกข์           ก่อกรรม              ฆ่าตัวตาย

นาๆศาสดา           ห้ามฆ่าตน            เป็นบาปยิ่ง

จึงเป็นสิ่ง              ทุกศาสนา            สั่งห้ามไว้

เพื่อมิให้               คนทั้งโลก              ทำแบบอย่าง

คนทั่วไป               ในโลกา               ต่างรับรู้

......................................................................................................

มูลนิธิศพ              ค้านทุกเรื่อง          ต้านทุกอย่าง

มันเอาอย่าง          เยี่ยงสัตว์นรก        ออกหากิน

มันทำลาย             คนท้องถิ่น            ห่างเมืองหลวง

มันรับทรัพย์          ต่างชาติ                ก่อการร้าย

มันรับเงิน              นายทุน                 ผู้ผูกขาด

มันทำลาย             เศรษฐกิจ              ชนชั้นล่าง

มันไม่เว้น             ชนชั้นกลาง           ชาติฉิบหาย

มันทำร้าย             ผู้ลงทุน                 คนพื้นที่

มันต่อต้าน            นำน้ำ                  จากเขื่อนศรี

เพื่อเกษตรอื่นๆ     ที่บ้านเรา              และเมืองน้อง

คนเมืองกาญจน์     ต่างก่นด่า             พวกชาติชั่ว

......................................................................................................

เรื่องที่สอง           มันก่อการ             ปิดถนน

มันไม่ให้              ซ่อมบูรณะ            เชื่อมต่อเมือง

กลุ่มจัญไร            อ้างว่า                  มรดกโลก

ไอ้กระ........           มึงแกล้งโง่             หรือใจทราม

ซึ่งความนัย          มรดกโลก              นั้นว่าไว้

เพื่อท่องเที่ยว       และอย่างอื่น         ไอ้หัวค.........

การท่องเที่ยว       เมืองกาญจน์         จึงฉิบหาย

 

เรื่องที่สาม         ขวางท่อแก๊ส             จากพม่า

พวกต่อต้าน       ทำร้ายเศรษฐกิจ        ประเทศไทย

มันรวมตัว          หมู่มารชั่ว                 ข้าราชการ

มีอ้ายเอิ...          อ้าย วีร..                               อ้าย ดำ...

ที่ทรวงทรัพย์        ทุจริต                     ทุกรูปแบบ

เป็นผลให้           บ.ผูกขาด                  จ่ายทรัพย์มหาศาล

มันได้ท่า                        สวาปาม                   ทรัพย์ก้อนใหญ่

จึงเงียบงำ          ให้ทำได้                    เพราะได้เงิน

.......................................................................................................

เรื่องที่สี่            ชาวพุทธ                    พึงได้รู้

นางมารร้าย       กากี                         ขาดศรีศักดิ์

มันบังอาจ          ขวางทางพระ             ปฏิบัติธรรม

อ้างผืนป่า          มรดกโลก                  บ้านสัตว์ป่า

พระและคน        ห้ามเข้า                                เศร้าเหลือเกิน

แผ่นดินมึง          หรือของใคร               อ้ายพวกเวร

มันใส่ร้าย           กระทั่งพระ                 อยู่ในดง

.......................................................................................................

เรื่องที่ห้า             รออีกหน่อย              ท่านต้องรู้

เรื่องชั่วๆ             อีเวรทำ                    และอ้ายสาด

ทั้งประธาน            เลขา                       ลูกกระจ๊อก

มันก่อการ             ทำร้าย                     ชาวเทศไทย

หลอกเงินชาติ        งบประมาณ              ทำลายไทย

องค์กรชั่ว              ร่วมเคลื่อนไหว         เพื่อได้เงิน

.......................................................................................................

ที่มาจาก    คนเมืองกาญจน์    และจังหวัดใกล้เคียง

 

 

 

ตั้งแต่ปมขึ้นทะเบียนมรดกโลก"องค์พระปฐมเจดีย์ พบว่ามีเรื่องของการได้-เสีย"ประโยชน์

คนนครปฐมค้านขึ้นทะเบียนพระปฐมเจดีย์เป็นมรดกโลก เจ้าอาวาสวัดปิดปากสนิท ให้สน.จัดประโยชน์และรักษาองค์พระฯ กอดพ.ร.บ.คณะสงฆ์สู้ ยันไม่เกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่ พบรายได้สะพัดต่อวันนับล้าน กลายเป็นประเด็นร้อนที่เกิดข้อถกเถียงกันมากที่สุดของคนนครปฐม เมื่อทางกรมศิลปากรจัดทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครปฐมในกรณี ขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก องค์พระปฐมเจดีย์” เจดีย์คู่บ้านที่มีอายุยาวนานนับพันปีคู่เมือง ขณะนี้กลายเป็นแรงต่อต้านการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกจากคนในพื้นที่ เนื่องจากไม่ต้องการให้มีการขึ้นทะเบียนเพราะเกรงว่าจะไม่สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพในบริเวณดังกล่าวได

ปัจจุบันองค์พระปฐมเจดีย์อยู่ในความดูแลของวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ชนิดราชวรมหาวิหาร เนื้อที่ทั้งหมด118 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา ภายใต้การดูแลของพระธรรมปริยัติเวที (สุเทพ ผุสฺสธมฺโม ป.ธ.9) หรือ สุเทพ บุษบก มีพระภิกษุจำนวน 161 รูป และสามเณร จำนวน 20 รูป โดยมีสำนักงานจัดประโยชน์และรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ เป็นหน่วยงานที่บริหารจัดการผลประโยชน์ภายในวัด 

ประชาชนที่พักอาศัยและประกอบกิจการการค้าบริเวณรอบองค์พระปฐมเจดีย์ ต่างไม่เห็นด้วยกับการขึ้นทะเบียนองค์พระปฐมเจดีย์เป็นมรดกโลก หรือWorld Heritage โดยเฉพาะกลุ่มแม่ค้า พ่อค้าผู้ประกอบการบริเวณรอบองค์พระระบุว่า

ถ้าขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้วเราจะเอาอะไรกิน เราเดือดร้อนขายของไม่ได้ ทั้งที่เราขายของที่นี่มา 20 กว่าปีแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเป็นมรดกโลกการบริหารจัดการทุกอย่างตกเป็นของหลวง พวกเรายุ่งเกี่ยวไม่ได้ เป็นของผู้หลักผู้ใหญ่ คนใหญ่คนโต เราไม่มีทางได้ทำกินกับเขาหรอก ลองคิดดู

ในขณะที่มุมมองของนายสุรเชน จันทร์คูณ หัวหน้าสำนักงานจัดประโยชน์และรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ กล่าวว่า แต่เดิมร้านค้าภายในวัด 30-40 ราย ขณะนี้เพิ่มสูงขึ้นถึง 120 รายซึ่งส่วนใหญ่ต่างออกมาต่อต้านการขึ้นทะเบียนองค์พระปฐมเจดีย์เป็นมรดกโลก เนื่องจากรับรู้ข้อมูลข่าวสารไม่กระจ่าง ปรับตัวไม่ทัน ซึ่งในส่วนของการบริหารจัดการผลประโยชน์ของวัด คิดว่าคงเหมือนเดิม เพราะถือเป็นพื้นที่วัดซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ในมาตรา 33, 34 และมาตรา 35ส่วนจะไปขึ้นทะเบียนตัวองค์พระปฐมเจดีย์เป็นมรดกโลกก็ขึ้นไป ไม่เกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่ของวัด เพราะมีการจัดการอย่างเป็นระบบ

ผลประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนมรดกโลกอยู่ที่ใคร?

นายสุรเชนยอมรับว่าตลอดระยะเวลา 37 ปีที่ทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์และรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ให้กับทางวัด รู้สึกหนักใจมากที่สุดกับเรื่องนี้ หากทางการ พิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้สำเร็จแล้วใครจะเป็นผู้บริหารจัดการพื้นที่เป็นเรื่องที่ตอบไม่ได้ เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นมรดกของประเทศชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ทางวัดมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์เท่านั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของ

กรณีที่หน่วยงานราชการเขาไปจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลก โดยไม่สนใจเสียงของชาวบ้าน เราก็จะบุกไปถึงกระทรวง กรมาให้มันเหมือนกับม๊อบเสื้อเหลือง เสื้อแดง อย่างแน่นอน

กรณี การลุกฮือของประชาชนในการต่อต้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกครั้งนี้นับเป็นพลวัตรใหม่ต่อการก้าวสู่การมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย นอกเหนือไปจากการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ การแสดงออกของประชาชนในครั้งนี้ ล้วนแสดงให้เห็นถึงสภาวะภาพของสังคมที่ผลัดใบสู่กระบวนการประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น หมดเวลาแล้วที่ผู้มีอำนาจจะดำเนินการใดตามใจชอบโดยไม่แคร์เสียงติงจากประชาชน

มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ค้านต่อท่อจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์  เพื่อนำช่วยเหลือเกษตรกรประชาชนจังหวัดกาญฯจังหวัดใกล้เคียง

อธิบดีกรมน้ำยันผันน้ำเขื่อนศรีนครินทร์แก้ภัยแล้งสุพรรณบุรี ห่วงกระทบบสิ่งแวดล้อม เพราะต้องเจาะอุโมงค์ ข้ามเขา ด้านผู้ว่าฯรับลูกระบบท่อ

นายเกษมสันต์   จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า  จากการลงพื้นที่สำรวจความต้องการของชาวบ้านต่อโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี   ทางกรมทรัพยากรน้ำ ได้รับข้อมูลจากนายสมศักย์     ภูรีศรี ศักดิ์ ผวจ.สุพรรณบุรี ซึ่งได้เสนอโครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ ลำตะเพินมาที่อ่างกระเสียว เพื่อช่วยแก้ ปัญหาการขาดแคลนน้ำให้กับ อ.ดอนเจดีย์ และอ.ด่านช้าง ซึ่งอยู่นอกเขตพื้นที่ชลประทาน แต่เนื่องจากโครง การนี้ ตามแผนต้องมีการขุดเจาะอุโมงค์ผ่านภูเขา เพื่อดึงน้ำมาป้อนให้กับอ่างกระเสียว และอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ และจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดและความเป็นไปได้ให้ชัดเจนก่อน จึงมอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำ ภาค 7 รับรายละเอียดข้อมูลต่างๆมาวิเคราะห์และสำรวจเชิงพื้นที่จริงอีกครั้ง ทั้งนี้อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งก่อน เพราะข้อมูลที่จังหวัดเคยมีการศึกษาไว้แล้วนั้นอาจยังไม่ครบถ้วนก็ได้ 

“ โครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ ไม่ได้อยู่ในแผนบริหารจัดการน้ำระบบเครือข่ายหลักทั้ง 15 โครงการของกรมทรัพยากรน้ำ   แต่เป็นแผนที่เสนอจากพื้นที่มาให้กรมช่วยพิจารณา ทั้งนี้คงต้องดูว่าจะสามารถ นำเข้ามาผนวกเป็นโครงการย่อยของระบบเครือข่ายที่วางไว้ได้หรือไม่ รวมทั้งดูความเป็นไปได้หรือหาทางเลือกอื่นๆที่จะเหมาะสมกับพื้นที่ด้วย   อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการของบไทยเข้มแข็ง จำนวน 5 , 380 ล้านบาท ซึ่งเพื่อศึกษาออกแบบทั้ง 15 โครงการนั้นยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา     พร้อมกันนี้ยังได้เตรียมตั้งงบปี 2554 เผื่อในกรณีที่อาจไม่ได้งบจากไทยเข้มแข็งด้วย   เพราะต้องเตรียมความพร้อมในการออกแบบรายละเอียดไว้ก่อน 2-3 ปี แต่ถ้าจะก่อสร้างก็อาจจะหยิบเอาบางโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน ” นายเกษมสันต์ กล่าว 

ด้านนายสมศักย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางจังหวัดสุพรรณบุรี พยายามแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับพื้นที่นอกเขตชลประทาน     โดยขุดลอกคลองรับน้ำที่มีปัญหาตื้นเขินให้ลึกและกว้างขึ้น เพื่อจะได้เก็บน้ำ สำรองในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งการที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรี ทส. ลงพื้นที่มาสำรวจความต้องการของคนสุพรรณบุรี ก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ และเชื่อว่าชาวบ้านก็มีความต้องการเช่นกัน เนื่องจากอ่างเก็บน้ำ ขนาดใหญ่ในพื้นที่ไม่ได้ป้อนน้ำให้กับคนสุพรรณ   แต่ส่งไปให้กับพื้นที่ชลประทานในเขตจ.ชัยนาท ทำให้เกรงว่าในอนาคตอาจเกิดปัญหาการแย่งน้ำก็ได้ 

ผวจ.สุพรรณบุรี กล่าวอีกว่า ส่วนโครงการระยะยาวคือ การผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำ ลำ ตะเพิน มาที่อ่างกระเสียว เพื่อหาน้ำให้กับบ้านสระกระโจม อ.ดอนเจดีย์ และด่านช้าง ซึ่งผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่ามี    2 แนวทาง คือผันน้ำจากอ่างลำ ตะเพิน ที่มีความจุอ่างถึง 90 ล้าน ลบ.ม.   แต่การเก็บน้ำไว้ค่ 50 ล้านลบ.ม.เท่านั้น ส่วนที่เหลือปล่อยทิ้งไปในช่วงหน้าฝน โดยการขุดเจาะอุโมงต์ผ่านภูเขา   และใช้การวางแนวท่อน้ำมาตามถนนหลวง   เพื่อจะได้ไม่ต้องเวนคืนพื้นที่จากชาวบ้าน และระหว่างทางจะมีวาล์วให้ชุมชนเปิดใช้น้ำ   ส่วนอีกแนวทางอาจจะหาพื้นที่นอกเขตลุ่มน้ำชั้น   1 เอ   เพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำลำตะเพินตอนบน ขนาดความจุ 50 ล้านลบ.ม. และส่งน้ำระบบท่อผ่านมาทางอ.ด่านช้าง สระกระโจม และมาเก็บในอ่างห้วยทวีป ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าว อาจยังไม่สมบูรณ์   จึงอยากให้กรมทรัพยากรน้ำ ช่วยดูในราย ละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง 

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ หรือโครงการผันน้ำส่วนเกินจากลุ่มนน้ำ แม่กลอง   สู่จ.อุทัยธานี เพื่อประโยชน์สำหรับเกษตรกรในพื้นที่จ.สุพรรณบุรี และจ.อุทัยธานี ก่อนหน้านี้ กรมชลประทาน เคยเสนอโครงการไว้ตั้งแต่ปี 2549 แต่เนื่องจากต้องมีการเจาะอุโมงค์ขนาดใหญ่ผ่านใต้ภูเขาสูงของพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอในพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีนครินทร์ และอุทยานแห่งชาติพุเตย เพื่อผันน้ำจากเขื่อนศรี๊นครินทร์ ไปยังอ่างเก็บน้ำกระเสีย ทำให้มีการคัดค้านโครงการจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร มาแล้วรอบหนึ่ง

 

ความรู้เรียนกันทัน    นอกจากผิดชอบชั่วดี

ดำรงชีวิต               สุจริต                  ไม่สิ้นคิด

   ถึงชีวิต                   สูงวัย                  ไม่ใจทราม

เป็นคนดี                ของสังคม             ไม่ทำชั่ว

    เน้นสำนึก               ตามกฎหมาย        ไม่ก่อกรรม

องค์กร เอ็น.จี.โอ. ชั่วหรือดี

 

 

 

มูลนิธิแสบ           ทำอะไร               ใครก็รู้             

ขวางทุกเรื่อง        ค้านทุกอย่าง         อีใจสัตว์

อ้างคนตาย           ผลาญตนเอง         วีรกรรม

เขาอมทุกข์           ก่อกรรม              ฆ่าตัวตาย

นาๆศาสดา           ห้ามฆ่าตน            เป็นบาปยิ่ง

จึงเป็นสิ่ง              ทุกศาสนา            สั่งห้ามไว้

เพื่อมิให้               คนทั้งโลก              ทำแบบอย่าง

คนทั่วไป               ในโลกา               ต่างรับรู้

......................................................................................................

มูลนิธิศพ              ค้านทุกเรื่อง          ต้านทุกอย่าง

มันเอาอย่าง          เยี่ยงสัตว์นรก        ออกหากิน

มันทำลาย             คนท้องถิ่น            ห่างเมืองหลวง

มันรับทรัพย์          ต่างชาติ                ก่อการร้าย

มันรับเงิน              นายทุน                 ผู้ผูกขาด

มันทำลาย             เศรษฐกิจ              ชนชั้นล่าง

มันไม่เว้น             ชนชั้นกลาง           ชาติฉิบหาย

มันทำร้าย             ผู้ลงทุน                 คนพื้นที่

มันต่อต้าน            นำน้ำ                  จากเขื่อนศรี

เพื่อเกษตรอื่นๆ     ที่บ้านเรา              และเมืองน้อง

คนเมืองกาญจน์     ต่างก่นด่า             พวกชาติชั่ว

......................................................................................................

เรื่องที่สอง           มันก่อการ             ปิดถนน

มันไม่ให้              ซ่อมบูรณะ            เชื่อมต่อเมือง

กลุ่มจัญไร            อ้างว่า                  มรดกโลก

ไอ้กระ........           มึงแกล้งโง่             หรือใจทราม

ซึ่งความนัย          มรดกโลก              นั้นว่าไว้

เพื่อท่องเที่ยว       และอย่างอื่น         ไอ้หัวค.........

การท่องเที่ยว       เมืองกาญจน์         จึงฉิบหาย

 

เรื่องที่สาม         ขวางท่อแก๊ส             จากพม่า

พวกต่อต้าน       ทำร้ายเศรษฐกิจ        ประเทศไทย

มันรวมตัว          หมู่มารชั่ว                 ข้าราชการ

มีอ้ายเอิ...          อ้าย วีร..                               อ้าย ดำ...

ที่ทรวงทรัพย์        ทุจริต                     ทุกรูปแบบ

เป็นผลให้           บ.ผูกขาด                  จ่ายทรัพย์มหาศาล

มันได้ท่า                        สวาปาม                   ทรัพย์ก้อนใหญ่

จึงเงียบงำ          ให้ทำได้                    เพราะได้เงิน

.......................................................................................................

เรื่องที่สี่            ชาวพุทธ                    พึงได้รู้

นางมารร้าย       กากี                         ขาดศรีศักดิ์

มันบังอาจ          ขวางทางพระ             ปฏิบัติธรรม

อ้างผืนป่า          มรดกโลก                  บ้านสัตว์ป่า

พระและคน        ห้ามเข้า                                เศร้าเหลือเกิน

แผ่นดินมึง          หรือของใคร               อ้ายพวกเวร

มันใส่ร้าย           กระทั่งพระ                 อยู่ในดง

.......................................................................................................

เรื่องที่ห้า             รออีกหน่อย              ท่านต้องรู้

เรื่องชั่วๆ             อีเวรทำ                    และอ้ายสาด

ทั้งประธาน            เลขา                       ลูกกระจ๊อก

มันก่อการ             ทำร้าย                     ชาวเทศไทย

หลอกเงินชาติ        งบประมาณ              ทำลายไทย

องค์กรชั่ว              ร่วมเคลื่อนไหว         เพื่อได้เงิน

.......................................................................................................

ที่มาจาก    คนเมืองกาญจน์    และจังหวัดใกล้เคียง

 

 

นิทานเซน : ยื้อไว้ไม่ยอมตาย กับ มีชีวิตอยู่อย่างดี

ในวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด มวลดอกไม้รอบบริเวณอารามเซนโดนแดดเผาจนเหี่ยวเฉา เมื่อเณรน้อยเห็นดังนั้น จึงกล่าวด้วยความตกใจว่า "แย่แล้ว ต้องรีบรดน้ำพวกมันสักหน่อย" จากนั้นจึงรีบยกถังไปตักน้ำตั้งท่าจะนำมารดต้นดอกไม้
       
       เมื่ออาจารย์เซนเห็นเหตุการณ์จึงกล่าวห้ามว่า "จงอย่ารีบร้อนไป ตอนนี้แสงแดดแรงมาก หากรดน้ำลงไป เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น จะพาลให้ต้นดอกไม้ตายเป็นแน่ จงรอให้ถึงยามค่ำก่อนเถิดค่อยรดน้ำ"
       
       ยามค่ำ เหล่าดอกไม้ที่โดแดดมาทั้งวันล้วนแห้งเหี่ยว เณรน้อยจึงบ่นว่า "ไม่รีบรดน้ำให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้ดอกไม้พวกนี้คงแห้งตายไปหมดแล้ว ต่อให้รดน้ำยังไงก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก"
       
       อาจารย์เซนได้ยินจึงปรามว่า "อย่าพูดมาก รดน้ำไป!"
       
       เมื่อได้น้ำที่ชุ่มฉ่ำราดรดลงไป ไม่นานเหล่าดอกไม้ก็กลับมาชูช่อดังเดิม เณรน้อยเห็นดังนั้นจึงอุทานด้วยความยินดีว่า "โอ้โฮ ดอกไม้เหล่านี้ช่างทนยิ่งนัก ยังสามารถยื้อไว้ไม่ยอมตาย"
       
       ทว่าอาจารย์เซนกล่าวแย้งว่า "เหลวไหล มิใช่ยื้อไว้ไม่ยอมตาย แต่เป็นการมีชีวิตอยู่อย่างดีต่างหาก"
       
       "แล้วมันต่างกันอย่างไร?" เณรน้อยถามด้วยความงุนงง
       
       อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า "ย่อมต่างกัน เราถามเจ้า ปีนี้เราอายุ 80 กว่าแล้ว เรียกว่าเรายื้อไว้ไม่ยอมตาย หรือ มีชีวิตอยู่อย่างดี?"
       
       หลังจากเสร็จสิ้นการทำวัตรเย็น อาจารย์เซนเรียกเณรน้อยมาพบ ทั้งยังถามถึงเรื่องที่ค้างไว้ว่า "เป็นอย่างไร คิดออกแล้วหรือไม่?"
       
       "คิดไม่ออกครับ" เณรน้อยตอบ
       
       อาจารย์เซนจึงอธิบายว่า "เด็กโง่ ผู้ที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเอาแต่กลัวความตาย ย่อมเรียกว่า ยื้อไว้ไม่ยอมตาย ส่วนผู้ที่มองไปข้างหน้าในทุกๆ วันจึงเรียกว่ามีชีวิตอยู่อย่างดี เมื่อมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันก็ต้องใช้มันให้ดีที่สุด ผู้ที่ยามมีชีวิตเอาแต่กลัวความตาย เอาแต่จุดธูปสวดมนต์ภาวนาเพื่อหวังว่าตายแล้วจะกลายเป็นพุทธะล้วนไม่มีทางเป็นพุทธะ" จากนั้นจึงกล่าวว่า " วันนี้มีชีวิตอยู่แล้ว แต่กลับไม่ตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี เมื่อตายไปฟ้าก็คงไม่ประทานชีวิตที่ดีกว่ามาให้หรอก"

 

 

 

 




อำนาจรัฐ คือ ต้วแทนประชาชน องค์กรประชาชนไทย ต้องตรวจสอบอำนาจรัฐ ชาติจึงจะเจริญ

ศาลให้ประกันตัว 'บุญเกื้อหนุน' พร้อมกำหนดเงื่อนไข ด้าน 'สมยศ' วืดประกัน คดีพาพวกปักหมุดคณะราษฎร article
แฉคลิป!!! ซ้อนแผนจับรับสินบน รองนายกเทศมนตรีจนมุม รับสินบนโยกย้าย article
ผบ.ทบ.ยันโอกาส "ปฎิวัติ" เป็นศูนย์ แต่อย่าสร้างเงื่อนไขขึ้นมา article
น้ำท่วมหมู่บ้าน ชาวบ้านเดือนร้อนกว่า 30 ปี article
ชาวบ้านร้องประปาใช้การไม่ได้ article
ถึงที่หมาย แต่หาที่จอดรถไม่ได้ มีแต่รถ ทปษ article
ชาวบ้านสังขละบุรีอพยพหนีน้ำท่วมสูง article
โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค article
เปิดสมอง 2 นายกฯ article
5 ปี จบไม่ลง! ป.ป.ช.จ่อแจ้งข้อหาเพิ่ม article
สนช. หลับคาวงถกงบ3ล้านล้าน article
ค้านรัฐบาลบิ๊กตู่ ซื้อดาวเทียม 9 หมื่นล้าน article
บิ๊กป้อม เชื่อ ‘คดียิ่งลักษณ์-จตุพร’ ไม่กระทบปรองดอง
“นพดล” ตั้งคำถามเกี่ยวกับกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ชี้แก้ไข ม.67 เหมาะสมหรือไม่
บอกแล้วว่าทำได้..เรื่องขี้ผง!!! ด่วน "บิ๊กตู่" สั่งเปรี้ยงเด้งฟ้าผ่า"รอง ผอ.พศ." แก๊งงาบเงินทอนวัดแล้ว ยันคดีเดินหน้าปกติ-ผิดจริงหวดหนัก
อธิบดีกสก.ย้ำโครงการ 9101 โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้
“ศรีวราห์”สั่งกองปราบฯ สืบคดีใหม่หลังสาวหนองคายโร่ร้องชื่อเหมือน 5 คนจู่ๆ ถูกตำรวจแจ้งข้อหาฆ่าคนตายใน กทม.ยันไม่เคยรู้จักผู้ตายและช่วงเกิดเหตุอยู่กับสามี
สมช. เผย ไม่คืบหน้าลาวส่งตัว “โกตี๋” กลับไทย ชี้ เป็นเรื่องของความร่วมมือ
ป.ป.ช. วางมาตรการ เพื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น ที่มีพฤติกรรมในทางทุจริต
สวนกันแบบจังจัง!! "วิทยา" สวน "สตช.ใช้นิสัยตร.ข่มขู่" หลังแฉซื้อขายเก้าอี้ จี้ใช้ ม.44 แช่แข็งอยากรู้ใครจะอดตาย ยันถูกจับให้"บิ๊กตู่" ประกัน
ชุดพญาเสือดำเนินคดีเจ้าของโรงแรมดังไทรโยค หลังตรวจสอบเอกสาร นส3 ที่นำมาแสดง
ตำรวจขอเวลาทำงาน สางปมซื้อขายตำแหน่งใน สตช.
DSI จ่อเรียก เสี่ยบุญชัย สอบ ปมบ้านหรูบนเขาที่พังงา
"บิ๊กป๊อก"เฉ่งยับหน่วยงานรัฐค้างจ่ายค่าสาธารณูปโภคเป็นสิบๆปียอดหนี้สะสมพุ่งหลายพันล้าน หมดช่องเคลียร์จบต้องทยอยจ่ายเป็นงวด
"วิษณุ"ปัดตอบปมปลาสองน้ำไม่อยากปะทะคารมเซ็ตซีโร่กกต.ไม่หนักใจจ่อสอบคุณสมบัติ 9 รมต. ไม่คิดว่าต้องการให้เป็นเงื่อนไข



เว็บไซต์ www.legendnews.net ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการคัดลอกหรือเปลี่ยนเป็นชื่อเว็บของท่าน