เมื่อพ่ออารมณ์ร้อน มีลูกอารมณ์ร้าย
“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” สำนวนนี้เป็นความจริงที่สะท้อนอิทธิพลของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านบวกอย่างความสามารถ หรือเป็นด้านลบอย่างความเจ้าอารมณ์ก็ตาม
คุณแม่ลูกสามรายหนึ่งเพิ่งกลับจากการพูดคุยกับผม เธอเดินทางมาไกลจากสมุทรสงคราม ด้วยเหตุที่ว่าเจ้าลูกชายคนรองนั้นเคร่งเครียดกับการเรียน เพราะเขากำลังจะเอนทรานซ์ปีนี้แล้ว (รอบแรก) ความเคร่งเครียดที่ว่านี้หลายครั้งสะสมจนกลายเป็นอารมณ์ร้อนโกรธง่าย
“วันก่อนโก้ (ชื่อสมมุติ) เพิ่งต่อว่าพ่อแม่อย่างรุนแรง หาว่ารบกวนการอ่านหนังสือ คนกำลังมีสมาธิก็ไปเรียกกินข้าว ความรู้ที่อ่านมาตั้งแต่เช้าเลยลืมหลุดหายไปหมด”
โก้เคยเครียดและแสดงความก้าวร้าวอย่างมาก แต่ก็ยังนับว่าน้อยเมื่อเทียบกับพ่อ ซึ่งขว้างแก้วใส่แม่เป็นประจำ แถมยังปากร้าย ตำหนิผู้คนไม่ว่างเว้น
ทำไมลูกถึงอารมณ์ร้าย ??
กรณีทั่วไปการมีอารมณ์ร้ายอาจเริ่มต้นจากการมีระบบร่างกาย (Physiology) ตื่นตัวจนเกินไป ทำให้ถูกกระตุ้นได้ง่าย ลักษณะเช่นนี้อาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมจากพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญมากกลับเป็นการเลี้ยงดูและแบบอย่างจากพ่อแม่ ด้วยเหตุผลสำคัญก็คือปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ แม้ว่าจะยากลำบากหากมาแก้ไขตอนโตแล้วก็ตาม
ทักษะการเผชิญและแก้ไขปัญหาของเด็กอารมณ์ร้อนมักไม่ดี เมื่อเจอความขัดแย้งหรือสภาพปัญหาจึงทำให้เกิดความขัดแย้งในใจสูง
“โก้” นั่งรถตู้ที่วิ่งระหว่างกรุงเทพกับมหาชัยเป็นประจำ วันหนึ่งความที่เขาเพลียจัดจึงเผลอหลับไป ทำให้เลยป้ายไปถึง 2 กิโลเมตร เขาตัดสินใจเดินกลับมาบ้าน แน่นอนเมื่อมาถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยจนไม่อยากจะทำอะไร พอมีใครมาทักเข้าก็พาลโกรธจนปาข้าวของแตกเสียหาย
เป็นเรื่องไม่แปลกที่จะอารมณ์เสียหลังจากเดินทางไกลมา 2 กิโลเมตร แต่ที่แปลกก็คือ ทำไมเขาตัดสินใจเดินทั้งที่สามารถนั่งรถมอเตอร์ไซค์หรือรถรับจ้าง (หากต้องการความปลอดภัยมากขึ้น) ก็ได้ นอกจากนี้เมื่อเกิดอารมณ์เสียขึ้นแล้วก็ควรมีวิธีการผ่อนคลายลงไปบ้าง เช่น การนั่งดื่มน้ำสักแก้ว การฟังเพลงโปรด หรือเล่นกีตาร์สักเพลง
ในรายพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมากๆ อย่างการตีกันของเด็กอาชีวะ ก็มีสาเหตุหนึ่งมาจากกรณีเด็กเหล่านี้ขาดทักษะในการจัดการแก้ไขปัญหา ดังนั้นแทนที่จะพูดจาหรือเจรจาต่อรองก็ใช้กำลังเข้าสู้กันแทน (รวมทั้งจบลงด้วยความเดือดร้อนที่มากกว่าเดิม)
พ่อแม่ควรรู้ว่าเมื่อไรเด็กกำลังโกรธหรืออารมณ์ร้อน ในเวลาขณะนั้นไม่ควรไปกวนใจหรือไปสั่งสอนเขา แต่ควรรอจนอารมณ์นั้นสงบลงแล้วจึงจะมานั่งคุยกัน
สำหรับเด็กเล็กอย่างชั้นอนุบาลหรือประถม การฝึกให้เด็กได้บอกความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดจะช่วยสงบอารมณ์ลงได้ ทั้งนี้ก็ต้องรวมไปถึงการสอนให้เด็กได้มีทางออกในการแก้ไขปัญหาของตนด้วย เช่น ทำอย่างไรเมื่อถูกเพื่อนแกล้ง
กรณีเด็กโตอย่างนายโก้นั้น การพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติกับคนรอบข้างจะช่วยให้อารมณ์ไม่คุกรุ่นสะสมตัว และในการแก้ไขปัญหานั้นก็ต้องรู้จักการพิจารณาทางเลือกในการแก้ไขปัญหา เพราะหลักสำคัญก็คือ หากคนเรามีวิธีเดียวเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นทางออกที่ไม่สวยนัก
การวาดมโนภาพ (Simulate) ผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาหรือ Take action ตามทางเลือกต่างๆ จะช่วยให้มองเห็นผลดีผลเสียของแต่ละทางออกได้ชัดเจนขึ้น
โก้จะต้องรู้ว่าการเดินกลับบ้านตั้ง 2 กิโลเมตรจะทำให้เขาอารมณ์เสีย เพราะบวกกับเสียเวลาอ่านหนังสือ ดังนั้น เขาจึงควรมีทางเลือกอื่นที่สร้างสรรค์
นอกจากนี้ผมยังได้สอนให้โก้ได้ฝึกวิชา “ฝ่ามือร้อน” ซึ่งเป็นการฝึกสมาธิเพื่อผ่อนคลายอย่างง่ายๆ ด้วยการยกมือทั้งสองข้างขึ้นในระดับทรวงอก หันฝ่ามือเข้าหากัน ขยับฝ่ามือเข้าและออกอย่างช้าๆ และผ่อนคลาย ทั้งนี้ในขณะฝึกนั้นจิตใจต้องเพ่งความสนใจอยู่ที่ฝ่ามือทั้งสองข้างไว้ตลอด และเมื่อสังเกตได้ว่าฝ่ามือนี้ร้อนวูบวาบขึ้นมาก็แสดงว่าทำได้ถูกต้องแล้ว หลังจากนั้นให้ฝึกติดต่อกันสัก 10 นาที
“แล้วพ่อเจ้าโก้ละหมอ”
คุณแม่อยากให้สามีอารมณ์เย็น ซึ่งทำไม่ได้ง่ายหรอก “คุณควรเริ่มจากการพยายามอย่าร้อนพร้อมๆ กับเขา หรือรู้จักช่างมัน ในเวลาที่สามีอารมณ์ร้อนใส่”