คนไทยในมาเลเซียกับสิทธิความเป็นพลเมือง
วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น. มติชน
โดย สุดารัตน์ แสงศรี
(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 22 กันยายน 2554 ผู้เขียนเป็นอาจารย์
ประจำสาขาภูมิภาคศึกษา สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปฏิบัติงานสหกิจศึกษา
สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์)
เมื่อกล่าวถึงคำว่า "ชนกลุ่มน้อย" ซึ่งเป็นคำที่มีความหมาย
กว้างมากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการนิยามของแต่ละกลุ่มผู้ใช้ แต่สำหรับ
ในประเทศไทยแล้ว หากจะกล่าวถึงคำว่า ชนกลุ่มน้อย คนส่วนใหญ่
ก็จะจินตนาการเห็นภาพผู้คนอยู่อาศัยบนดอยสูงทางภาคเหนือ
ของประเทศซึ่งมีมากมายหลายกลุ่มด้วยกันอาจตั้งถิ่นฐานพักพึง
อยู่อย่างถาวร หรืออพยพเร่ร่อนไปตามลักษณะของชนกลุ่มนั้นๆ
มีภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย ความเชื่อ ประเพณีเฉพาะที่แตก
ต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย และที่สำคัญคือยังมีความล้าหลัง
ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างมาเลเซียก็ประกอบไปด้วยชนกลุ่มน้อยมากมาย
หนึ่งในนั้นคือ "คนไทย"
เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีอัตลักษณ์หลายอย่างที่เหมือนกับอัตลักษณ์ของคนไทยในภาคใต้ของ
ประเทศไทย ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า คนไทยเหล่านั้นมีชีวิตความ
เป็นอยู่อย่างไร โดยเฉพาะในด้านการมีสิทธิความเป็นพลเมืองของประเทศมาเลเซีย
คนไทยในมาเลเซียอาศัยอยู่พื้นที่แถบเขตตอนเหนือของประเทศมาเลเซียในปัจจุบันมาช้า
นานเป็นชนกลุ่มหนึ่งในรัฐไทรบุรี ปะลิส กลันตัน ทางตอนเหนือของรัฐเประ และมีจำนวนหนึ่ง
อาศัยในปีนังโดยบางส่วนได้ผสมกลมกลืนกับชนพื้นเมืองแถบนี้ด้วย
ภายหลังสยามเสียดินแดนส่วนนี้แก่อังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 5 ชาวไทยกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่อยู่
ในประเทศมาเลเซียจนถึงปัจจุบัน โดยชาวไทยในหัวเมืองมลายูทั้ง 4 เมือง ยังคงตั้งหลักปักฐาน
อยู่ที่นั่นนับตั้งแต่อังกฤษยึดครองมลายูจนกระทั่งมาได้รับเอกราชเป็นมาเลเซียในปัจจุบัน
โดยเฉพาะใน เกตะห์มี 11 เขต 27 หมู่บ้าน มีวัด 50 วัดมีชาวไทยไม่ต่ำกว่า 50,000 คน
โดยชาวไทยในประเทศมาเลเซียนี้ก็ยังรักษาประเพณีวัฒนธรรมของไทยไว้ได้อย่างดีรวมถึง
ภาษา ความเชื่อ และศาสนาที่เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกับชาวมลายู
สำหรับประเด็นเรื่องของสิทธิความเป็นพลเมืองของคนไทยในมาเลเซีย น่าจะเริ่มมอง
กันที่ประเด็นการขอมีสถานภาพเป็นภูมิบุตร (Bumi putra) ถือว่าสำคัญที่สุด
ตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซียถือว่า บุคคลที่สืบเชื้อสายเป็นชาวมลายูหรือสืบเชื้อสายเป็น
ชาวซาบาห์หรือชาวซาราวักในมาเลเซียเท่านั้นที่เป็นภูมิบุตรา นอกจากนั้นจะไม่ใช่ภูมิบุตรา
ฉะนั้นจะมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นภูมิบุตราเพียงสองกลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มชาติพันธุ์มลายูและกลุ่ม
ชาติพันธุ์กาดาซันจากรัฐซาราวักและซาบาห์ ส่วนลูกหลานที่เป็นภูมิบุตรา ก็จะต้องมีบิดาหรือ
มารดาที่สืบเชื้อสายมลายูหรือชาวซาบาห์หรือซาราวักเท่านั้น
ผู้ที่ถือสิทธิเป็นภูมิบุตราจะถือว่าเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง จะมีสิทธิพิเศษมากมายนับว่าเหนือกว่า
กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ในมาเลเซีย
ทุกกลุ่มชาติพันธุ์จึงต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้สถานภาพภูมิบุตราซึ่งนั้นหมายถึงความเป็นพลเมือง
ของประเทศมาเลเซียโดยสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม จากการต่อสู้ทางสายกลางของชาวพุทธเชื้อสายไทยนั้นนับว่าประสบความสำเร็จ
อย่างมาก เพราะว่าชาวพุทธเชื้อสายไทยถึงแม้ว่าไม่มีสถานภาพเป็นภูมิบุตรา แต่สิทธิต่างๆ
หมายถึงสิทธิด้านการเมืองเศรษฐกิจและสังคม จะเหมือนกับภูมิบุตราที่เป็นชาวมลายูทุกประการ
ปัจจุบันนี้ชาวพุทธเชื้อสายไทยจึงมีสถานภาพพิเศษซึ่งถือว่าเป็นสถานภาพที่สูง
กว่าชาวจีนและชาวอินเดียในมาเลเซีย
ก่อนมาเลเซียได้รับเอกราช ชาวไทยเหล่านั้นมีหลักฐานแสดงสถานภาพความเป็นชนกลุ่มน้อย
คือสูติบัตรแสดงความเป็นไทยเชื้อสายไทย ทะเบียนสำมะโนครัวแสดงสัญชาติมาเลเซีย
เริ่มทำบัตรประชาชนตั้งแต่อายุ 12 ปี และทำใหม่อีกครั้งเมื่ออายุ 18 ปี เมื่อหลังจากได้รับ
เอกราชแล้ว ชาวไทยมีหลักฐานการแสดงสถานภาพเหมือนเดิม แต่จะไม่มีการทำทะเบียน
สำมะโนครัวแสดงสัญชาติมาเลเซียแต่จะมีบัตรประชาชนแสดงสัญชาติมาเลเซียแทน
นอกจากชาวไทยมีที่ดินเป็นของตนเองได้ มีสิทธิขายที่ดินให้แก่ผู้อื่นได้แต่ผู้ซื้อต้องเป็นชาว
มาเลเซีย ชาวไทยด้วยกันไม่มีสิทธิซื้อขายที่ดินไม่ว่าเป็นของชาวไทยหรือของชาวมาเลเซีย
อีกประการหนึ่งเจ้าของที่ดินต้องเป็นเกษตรกรชาวไทยและมีบัตรแสดงการเป็นเกษตรกรชาวไทย
ทางการมาเลเซียจึงยอมรับว่าชาวไทยเป็นเกษตรกรเจ้าของที่ดินและไม่ประสงค์กลับเข้าไป
อยู่ในประเทศไทย
สำหรับการขอแก้ไขให้มีการระบุชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยในแบบฟอร์มการขอเข้ามหาวิทยาลัย
ของรัฐ ประเด็นนี้ก็ถือว่าสำคัญ เพราะว่าหากไม่มีการระบุกลุ่มชาติพันธุ์ที่ชัดเจน จะทำให้ลูกหลาน
ชาวพุทธเชื้อสายไทยหมดสิทธิในการเข้าศึกษาต่อในสถาบันของรัฐ เพราะการเข้าสถาบัน
การศึกษาของรัฐในมาเลเซียนั้นมีการจัดการเข้าศึกษาตามระบบ ซึ่งเป็นอัตราส่วนตามจำนวน
กลุ่มชาติพันธุ์
ด้านการเมืองเรื่องของการขอมีสิทธิเป็นสมาชิกของพรรคอัมโน (umno-United Malays
National Organization) ประเด็นนี้ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญมาก เพราะว่าพรรคอัมโนเป็น
พรรคการเมืองของชาวมลายู เป็นพรรคการเมืองที่ผูกขาดการบริหารปกครองประเทศโดยตลอดมา
ผู้ที่เป็นสมาชิกของพรรคอัมโนจะได้รับผลประโยชน์และสิทธิต่างๆ อย่างเช่นการขอเงินงบ
ประมาณในการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง การขออนุญาตในการจัดกิจกรรมของท้องถิ่น
อาจจะง่ายขึ้นมากกว่าพรรคอื่นๆ
สำหรับชาวพุทธเชื้อสายไทยนั้น นับตั้งแต่ที่เคยมีการต่อสู้การเรียกร้องสิทธิทางการเมืองที่
แตกต่างกันในการดำเนินนโยบายที่มีต่อชนกลุ่มน้อยชาวพุทธเชื้อสายไทยนั้น รัฐบาลมาเลเซีย
ได้ตอบสนองด้วยการให้มีการจัดตั้งองค์กรกลุ่มชาติพันธุ์ชาวพุทธเชื้อสายไทยที่ถูกต้อง
ตามกฎหมาย จึงเกิดสมาคมสยามมาเลเซียและสมาคมไทยกลันตันที่ทำการต่อสู้เพื่อปกป้อง
สิทธิผลประโยชน์ของกลุ่มชาติพันธุ์
รัฐบาลมาเลเซียมีการให้คำมั่นแก่ชาวพุทธเชื้อสายไทยถึงการสงวนสิทธิในตำแหน่ง
สภานิติบัญญัติไว้สำหรับชาวพุทธเชื้อสายไทยหนึ่งที่นั่งตามประชากรจำนวนประมาณ
60,000 คน
ในปัจจุบันชาวไทยที่มีถิ่นฐานอาศัยอยู่ในแถบรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ยังคงมี
ความรู้สึกผูกพันอย่างเหนียวแน่นกับประเทศไทยโดยเฉพาะในวิถีการดำเนินชีวิต แม้แต่ศาสนา
และวัฒนธรรม
แต่อย่างไรก็ตาม คนไทยกลุ่มนี้กลับมิได้เรียกร้องหรือต้องการมีสัญชาติไทยเหมือนอย่างกลุ่ม
คนไทยพลัดถิ่นในเขตตะนาวศรีของประเทศพม่า ทั้งที่กลุ่มคนพลัดถิ่นทั้งสองกลุ่มนี้อยู่ในสถานะ
ที่คล้ายคลึงกัน คือการถูกเส้นเขตแดนบังคับความเป็นพลเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่ง การขีด
เส้นเขตแดนเกิดขึ้นหลังการตั้งถิ่นฐานของผู้คนหลังการเกิดขึ้นของรัฐชาติ หรือความเป็นประเทศ
ในปัจจุบันนั้นนับเป็นปัญหาที่ต้องตกอยู่กับตัวของประชาชนหากไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลของ
ประเทศนั้นๆ อย่างที่คนไทยพลัดถิ่นในเขตตะนาวศรีของประเทศพม่าออกมาเรียกร้อง
แต่สำหรับคนไทยพลัดถิ่นในมาเลเซียหรืออย่างที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า "คนไทยติดถิ่น"
นั้นน่าจะถูกต้องกว่า เพราะเป็นคนในพื้นที่นั้นเดิมไม่ได้เกิดจากการอพยพเข้าไป คนกลุ่มนี้ต่าง
กับกลุ่มคนไทยในเขตตะนาวศรีเนื่องจากพวกเขาพอใจกับความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะประเทศ
มาเลเซียมีการดูแลชนกลุ่มน้อยที่มีประสิทธิภาพมากกว่า จนชาวไทยมีชีวิตความเป็นอยู่
ที่น่าพึงพอใจ
ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียมองว่ากลุ่มคนไทยกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นภัยและส่งผลกระทบใดๆ
ต่อประเทศ จึงไม่ได้เข้าไปแทรกแซงในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่มากนัก
ยิ่งกว่านั้นยังมีการอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมทางพุทธศาสนาได้อย่างเสรีทั้งที่คนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม
สถานะความเป็นพลเมืองก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจมีสิทธิในเรื่องของสาธารณูปโภคที่ครบถ้วน
แต่อาจมีข้อจำกัดอยู่บ้างนั้นอาจไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะด้วยข้อจำกัดที่เป็นเพียงชนกลุ่มน้อย
ของสังคม ก็จำต้องคล้อยตามความเป็นไปของคนส่วนใหญ่ของสังคมซึ่งอาจไม่ตรงกับความ
ต้องการของชนกลุ่มน้อยไปทั้งหมด
ทั้งนี้ ความเป็นอยู่ของคนไทยในมาเลเซียอยู่ที่ดีในระดับหนึ่งปัจจุบันนั้น อีกเหตุผลที่อาจเป็น
ไปได้คือประเทศมาเลเซียและประเทศไทยค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาช้านาน และเป็น
ประเทศเพื่อนบ้านที่พึ่งพาอาศัยกันอยู่บ่อยครั้ง และมาเลเซียก็เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนเส้นทาง
ของความเป็นประชาธิปไตยในเรื่องของสิทธิความเป็นพลเมืองของชนกลุ่มน้อยที่มี
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้าน
เหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ประกอบให้ชนกลุ่มน้อยชาวไทยในมาเลเซียมีสิทธิความ
เป็นพลเมืองเป็นที่พอใจเฉกเช่นเดียวกับชนส่วนใหญ่ของประเทศ