วันอาทิตย์ ที่ 25 กันยายน 2554 เวลา 0:00 น. เดลินิวส์
ปัจจุบันการเกิดโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน หรือโรคร้ายแรงชนิดเดิมดื้อยา
กลับมาแพร่ระบาดและก่อให้เกิดโรคต่อมนุษย์รุนแรงและเรื้อรังมากขึ้น ทำให้การรับมือกับโรค
ต่าง ๆ ต้องมีประสิทธิภาพด้านการสาธารณสุข การป้องกันและรักษาด้วยผู้เชี่ยวชาญ ที่สำคัญ
ต้องเร่งพัฒนางานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ครอบคลุมหลายมิติ
ศ.ดร.ศกรณ์ มงคลสุข คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และหัวหน้าหน่วยวิจัยด้าน
โรคติดเชื้ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำจากแบคทีเรีย เปิดเผยว่า สาเหตุของโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตมนุษย์
เกิดจากเชื้อปรสิต จุลชีพ เชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัส ก่อให้เกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่หรือโรคติด
เชื้ออุบัติซ้ำ โดยมีตัวช่วยนำโรคหรือพาหะ เช่น ยุง แมลง เห็บ ไร ริ้น ซึ่งมีการปรับตัวผันแปรเปลี่ยน
ไปตามบรรยากาศของโลกที่ผันผวน โดยโรคหลัก ๆ ได้แก่ โรคมาลาเรีย โรคไข้เลือดออก วัณโรค
และโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล
“โรคติดเชื้อในโรงพยาบาล” นับเป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียเป็น
เชื้อโรคที่สามารถแพร่กระจายในโรงพยาบาลโดยบุคลากร อุปกรณ์แพทย์ น้ำยาฆ่าเชื้อ และอาหาร
เมื่อผู้ป่วยที่พักรักษาตัวมีภาวะป่วยรุนแรงและมีภูมิคุ้มกันต่ำทำให้เกิดการติดเชื้อในร่างกายได้
หลายระบบ เช่น เกิดโรคปอดบวมและภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ปัจจัยที่ทำให้รุนแรงคือเชื้อนี้มี
ความสามารถในการเกาะยึดติดกับเยื่อบุผิว มีการสร้างโปรตีนจำเพาะที่มาทำลายเนื้อเยื่อ อีกทั้ง
ยังสร้างส่วนที่ทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันผิวชั้นนอกของเชื้อ และมีคุณสมบัติดื้อต่อยาปฏิชีวนะ
การรักษาด้วยการให้ยาอาจไม่ได้ผลหรือบางกรณีต้องผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อส่วนที่ติดเชื้อออก งานวิจัย
จึงมุ่งศึกษาไปถึงกลไกการดื้อยาของเชื้อดังกล่าว ซึ่งพยายามใช้เทคนิคและความรู้ทางอณูพันธุ
ศาสตร์โมเลกุลและชีววิทยาการแพทย์มาช่วย เพื่อนำไปสู่ การออกแบบยาปฏิชีวนะใช้สำหรับเชื้อ
ที่มีการดื้อยา เป้าหมายในอนาคตคือใช้ยาอย่างจำเพาะเจาะจง และมีประสิทธิภาพ
“โรคมาลาเรีย” หรือไข้จับสั่น เกิดจากเชื้อปรสิตที่มีชื่อว่า “พลาสโมเดียม” รศ.ดร.จิรันดร ยูวะนิยม
นักวิจัยจากศูนย์วิจัยโครงสร้างและการทำงานของโปรตีน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ร่วมมือกับกลุ่มวิจัยหลายกลุ่ม มีหัวหน้าโครงการคือ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ที่ BIOTEC เปิดเผยว่า
เชื้อมาลาเรียมีเอนไซม์ตัวหนึ่ง คือเอนไซม์ไดไฮโดรโฟเลต-รีดัคเตส หรือเรียกย่อ ๆ ว่า
“ดีเอชเอฟอาร์” (DHFR) การรักษาใช้ยาประเภทแอนติโฟเลต ซึ่งมีศักยภาพในการยับยั้ง
เอนไซม์นี้ แต่ปัจจุบันพบว่าเชื้อพลาสโมเดียมดื้อต่อยา โดยกลไกการดื้อยาเกิดจากการกลาย
พันธุ์ของยีนที่ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์ดีเอชเอฟอาร์ การศึกษาวิจัยโครงสร้างสามมิติของผลึก
เอนไซม์ดีเอชเอฟอาร์ และการเปลี่ยนแปลงบริเวณที่ยาจับกับเอนไซม์ของเชื้อดื้อยานี้จึงมี
ความสำคัญ เพราะสามารถนำไปใช้ในการออกแบบยาหรือสารยับยั้งตัวใหม่เพื่อใช้เป็นยาต้าน
มาลาเรียชนิดดื้อยาที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม ปัจจุบันทางคณะฯ ได้สังเคราะห์สารยับยั้งได้
หลายชนิดแล้วและมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อไปเป็นยาตัวใหม่ได้
“โรคไข้เลือดออก” มีงานวิจัยเกี่ยวกับการหาสารป้องกันไวรัสไข้เลือดออกจากเชื้อแบคทีเรียใน
เซลล์ยุงลาย เป็นนวัตกรรมใหม่ในการป้องกันและรักษาโรคไม่ต้องพึ่งสารสังเคราะห์
รศ.ดร.ปัทมาภาณ์ กฤตยพงษ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อความเป็นเลิศพาหะและโรคที่นำโดยพาหะ
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า ทีมวิจัยได้ตั้งสมมุติฐานว่า แบคทีเรียโวบาเกีย
ที่อยู่ร่วมกับเซลล์ของยุงลายบางชนิดจะผลิตและหลั่งสารบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรค
เข้าสู่เซลล์ของยุงเอง โดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างยุงที่มีแบคทีเรียโวบาเกียและยุงที่ไม่มี
แบคทีเรียนี้ หลังการใส่เชื้อไวรัสไข้เลือดออกเข้าไป พบว่ายุงที่มีแบคทีเรียในเซลล์มีอัตราการ
ติดเชื้อต่ำมาก ความคาดหวังต่อไปคือจะสามารถหาสารที่มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อไวรัส
ไข้เลือดออก การศึกษาวิจัยนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการป้องกันและรักษาโรคไข้เลือดออก
เพราะมีความพยายามทำวัคซีนไข้เลือดออกกันมากว่า 20 ปี
แต่ก็ยังไม่มีวัคซีนที่ได้ผลดี เนื่องจากไวรัสไข้เลือดออกมีถึง 4 สายพันธุ์ ดังนั้นวัคซีนที่ดีต้องป้องกัน
ได้ทุกสายพันธุ์ จึงต้องใช้เวลาในการพัฒนา ส่วนแนวทางใหม่ในการบำบัดรักษายังรวมถึงงาน
วิจัยเรื่องภูมิคุ้มกันบำบัดของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สามารถต่อต้านเชื้อไวรัสไข้เลือดออกโดย
ดร.พญ.พรพรรณ มาตังคสมบัติ-ชูพงศ์ จากภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
“เชื้อวัณโรค” หรือ “มัยโคแบคทีเรีย ทูเบอร์คูโลซิส” แบคทีเรียที่เป็นปัญหาวิกฤติทางสาธารณสุข
องค์การอนามัยโลกจัดให้ประเทศไทยอยู่อันดับ 17 จาก 200 ของกลุ่มประเทศที่มีปัญหาวัณโรค
แพร่ระบาด ประมาณการว่าผู้ติดเชื้อ 1 คนสามารถแพร่เชื้อต่อไปได้ถึง 15 คน มีการติดเชื้อง่าย
และรุนแรงยิ่งขึ้นในกลุ่มเสี่ยงที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากวัณโรคทั่วโลกสูงถึง
2 ล้านคนต่อปีและกำลังเพิ่มขึ้น
การตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำและรวดเร็วจึงสำคัญ เพราะหลังจากติดเชื้อแล้วระยะพัก
ตัวในผู้ติดเชื้อก่อนแสดงอาการมีตั้งแต่เป็นเดือนถึงเป็นปี ผู้ป่วยอาจมีอาการไม่มากแต่แพร่เชื้อได้
มากผ่านทางเสมหะที่กระจายในอากาศ จึงสามารถแพร่ไปยังประชากรหลายกลุ่มโดยไม่จำกัดเพศ
อายุ อาชีพ จึงน่าวิตกอย่างมาก รศ.ดร.อังคณา ฉายประเสริฐ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
และ รศ.นพ. ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกันวิจัยและ
พัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยแบบทราบผลเร็วได้สำเร็จ สามารถตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อวัณโรคในสิ่ง
ส่งตรวจที่ทำให้สามารถจำแนกเชื้อมัยโคแบคทีเรียแต่ละชนิดอย่างแม่นยำรวดเร็ว แต่ปัญหาที่
สำคัญของวัณโรคคือ การดื้อยา ซึ่งเชื้อวัณโรคมีการดื้อยาทั้งชนิดดื้อยาบางขนานและชนิดดื้อ
ยารุนแรงหลายขนาน และมีผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น ภาวะที่น่าเป็นห่วงคือหากเกิดการดื้อยา
แล้วจะไม่มียาตัวไหนสามารถรักษาได้ นอกจากการวินิจฉัยแบบทราบผลเร็วเพื่อจำแนกเชื้อ
อย่างรวดเร็วแล้วจำเป็นต้องมีการคิดค้นพัฒนายาต้านวัณโรคชนิดดื้อยารุนแรงด้วย
อย่างไรก็ตามการจัดการกับภาวะเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรคต่าง ๆ ต้องเน้นการ
บูรณาการทั้งด้านสาธารณสุขการแพทย์เพื่อการจำแนกและรักษาและการค้นคว้าด้านวิทยาศาสตร์
เพื่อหากลไกในการรับมือและหาคำตอบในการป้องกันโรคร้ายที่สร้างปัญหาให้มนุษย์ โดยใน
วันที่ 10-12 ตุลาคม 2554 นี้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เป็นเจ้าภาพร่วมกับ
สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยฯ ในการจัดประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 37 (วทท.37) ขึ้นที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เพื่อเสนอผลความก้าว
หน้างานวิจัย ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิจัยหลากหลาย
สาขาได้โดยตรง ขณะเดียวกัน พวกเราเองก็ควรหมั่นดูแลสุขภาพรักษาความสะอาดให้ถูก
หลักอนามัยเพราะเชื้อโรคต่าง ๆ เกิดจากความสกปรกและความไม่รู้เท่าทันโรคทั้งสิ้น..!!.