ในช่วงนี้ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Operator) รายหลักในประเทศไทย ทั้ง เอไอเอส ดีแทค และ ทรู ต่างได้ยกระดับการให้บริการของตนเองไปสู่ระบบ 3G แม้จะยังไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เพื่อให้ทันกับความต้องการของผู้ใช้บริการที่มีมากขึ้นทุกวัน
เพียงแต่ยังติดปัญหาสำคัญประการหนึ่งจากการที่กระบวนการสรรหาคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ยังไม่แล้วเสร็จ ทำให้การประมูลเพื่อหาผู้ได้รับอนุญาตเข้ามาให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3G ที่แท้จริง (ย่านความถี่ 2.1 GHz) ยังไม่อาจเกิดขึ้นได้
ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละรายข้างต้น จึงหาทางออกจากปัญหาดังกล่าวโดยการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ภายใต้คลื่นความถี่เดิมของตนเองที่ได้รับอนุญาตให้ใช้จากหน่วยงานที่เป็นเจ้าของคลื่น เช่น กสท. หรือทีโอที ไปก่อน
บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค หนึ่งในผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ภายใต้คลื่นความถี่เดิม (850 MH2) ได้เริ่มให้บริการดังกล่าวในเชิงพาณิชย์เมื่อ 16 สิงหาคม 2554 โดยดีแทคกล่าวว่า มีลูกค้าขอใช้บริการ 3G ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้วกว่า 300,000 ราย ทั้งที่ขณะนี้อยู่ในระหว่างสำนักงานอัยการสูงสุดกำลังพิจารณาข้อหารือของ กสท. ว่า ดีแทคมีอำนาจเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่สูง (850 MH2) ในเชิงพาณิชย์ได้หรือไม่ และยังไม่แน่ชัดว่าจะมีความเห็นออกมาเมื่อใด แต่ทางผู้บริหารของดีแทคต่างก็ออกมายืนยันว่า จะยังคงดำเนินการให้บริการ 3G ต่อไป โดยอ้างว่าเป็นการทำตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน และได้มีการพูดคุยกับ กสท. แล้ว - 2 -
ข้ออ้างของดีแทคทำให้เห็นได้ว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่อาจทราบได้ว่าอัยการสูงสุดจะตีความสัญญาสัมปทานออกมาอย่างไร ทั้งที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าตามสัญญาสัมปทานจะสามารถให้บริการ 3G ได้หรือไม่ ส่วนที่ดีแทคอ้างว่า ได้มีการพูดคุยกับ กสท. ก็คงเปิดให้บริการแล้วนั้น ผู้บริหารของ กสท. ก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่า กสท. ยินยอมให้ดีแทค ทดลองเปิดบริการ 3G โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มจากลูกค้าหรือทดลองการให้บริการในกลุ่มพนักงานได้ แต่ที่สั่งระงับคือ การเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ ซึ่งก็คือห้ามเก็บเงินจากลูกค้านั่นเอง
การที่ดีแทคยังคงเดินหน้าให้บริการ 3G ในเชิงพาณิชย์ต่อไป ทั้งที่ กสท. ซึ่งเป็นผู้ให้สัมปทานได้มีหนังสือเตือนไปถึง 2 ครั้งแล้วนั้น อาจถือว่าเข้าข่ายผิดสัญญาสัมปทาน และอาจนำไปสู่การยกเลิกสัญญาสัมปทานได้
ปัญหาเรื่องนี้ กสท. ควรที่จะแสดงบทบาทให้ชัดเจน เพราะ กสท. เป็นผู้ที่ทำสัญญากับดีแทคโดยตรง และ กสท. เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งถือเป็นหน่วยงานราชการที่กำกับดูแลในเรื่องนี้ และเป็นผู้ที่มีอำนาจดำเนินการได้ตามกฎหมาย
ปัญหาเรื่องอำนาจในการให้บริการระบบ 3G เชิงพาณิชย์ของดีแทค จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องมีผู้รับผิดชอบในการจัดการปัญหา เนื่องจากมีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย การปล่อยให้ระยะ เวลายืดเยื้อออกไปโดยปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจโทรคมนาคมทั้งหมด
ปัญหาของดีแทคเป็นเพียงตัวอย่างของหลาย ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับทางราชการ ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของโทรคมนาคมที่ภาคเอกชนยอมที่เสี่ยงดำเนินการไปก่อน แม้จะยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากทางราชการ แล้วค่อยมาแก้ปัญหาภายหลัง - 3 -
จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ กสท. ที่แม้จะพยายามประคับประคองปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก แต่การจัดการกำกับดูแลและรักษากฎหมายถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่ กสท จะต้องดำเนินการเพราะเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรง หากไม่เป็นไปตามสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ในระยะยาวผู้ใช้บริการจะได้รับผลกระทบมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน