จ.บุรีรัมย์ ตำรวจรวบแก๊งแขกขาวตระเวนทำทีขอแลกเงินธนาคารร้านค้าก่อนฉกเงินในลิ้นชักหลบหนี

ตำรวจ สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ รวบแก๊งแขกขาวชายหญิงออกตระเวนตบทรัพย์ โดยทำทีเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขอแลกเงินตามธนาคาร ร้านค้า เหยื่อเผลอแอบฉกเงินในลิ้นชักหลบหนี ประวัติก่อเหตุมาหลายจังหวัดในภาคอีสาน ขณะตำรวจเร่งไล่ล่าผู้ร่วมแก๊งเพิ่มคาดมีมากกว่า 10 คน

       ( 17 พ.ย.54) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ได้ทำการจับกุมนายเออร์กัน อัตมัน อายุ 50 ปี , นางคาสแบน บินีซี่ อายุ 45 ปี และนายเมนดุ บอสทัส อายุ 22 ปี แก๊งแขกขาวชาวตุรกี หลังทั้ง 3 ได้ร่วมกันออกตระเวนก่อเหตุตบทรัพย์สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชนในหลายพื้นที่จังหวัด โดยแก๊งแขกขาวดังกล่าวจะปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ขับรถเก๋งออกตระเวนทำทีเข้าไปซื้อของ หรือขอแลกเงิน ตามธนาคาร ร้านค้าต่างๆ จากนั้นเพื่อนในแก๊งก็จะหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจเหยื่อ ก่อนที่อีกคนจะเข้าไปฉกเอาเงินหรือทรัพย์สินในลิ้นชักของเหยื่อ โดยล่าสุดแก๊งดังกล่าวได้ไปก่อเหตุที่สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.บุรีรัมย์ จำกัด สาขาหนองกง ต.หนองกง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ขณะที่นายนเรศ อิ่มเกิด อายุ 42 ปี กำลังทำหน้าที่รับซื้อขายข้าวเปลือกอยู่ภายในสหกรณ์ จากนั้นแก๊งดังกล่าวก็เข้าไปทำทีขอซื้อข้าวเปลือก และนำธนบัตรฉบับละ 100 บาทไปขอแลกเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท พอสบโอกาสนาย 2 ใน 3 คนร้ายได้เดินตามเข้าไปหยิบเอาเงินในลิ้นชักหลบหนีไปกว่า 227,200 บาท จากที่มีเงินอยู่ในลิ้นชักทั้งหมด 737,870 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าทั้ง 3 หลบหนีไปอยู่ที่จ.ร้อยเอ็ด จึงขออนุมัติหมายศาลจังหวัดนางรอง ติดตามจับกุมตัวทั้ง 3 มาดำเนินคดี

      ทางด้าน พล.ต.ต.ประสิทธิ์ ทำดี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ระบุว่า จากการสืบสวนทราบว่าแก๊งดังกล่าวมีอยู่ทั้งหมด 14 คน ได้ตระเวนก่อเหตุในเขตพื้นที่ภาคอีสานหลายจังหวัด ทั้งจ.อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด และจ.บุรีรัมย์ และคาดว่าน่าจะมีผู้ตกเป็นเหยื่อหลายราย จึงได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่คิดว่าตกเป็นเหยื่อแก๊งดังกล่าว ให้เข้ามาแจ้งความเพื่อที่จะได้ดำเนินคดีกับแก๊งดังกล่าวเพิ่มเติม พร้อมกันนี้ยังได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่เหลือมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ไปก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับเหยื่อรายอื่นซ้ำอีก