ReadyPlanet.com
dot dot
dot

dot
ตราครุฑ




กรุงเทพ ปล้นปลัดสะท้านกรุงเขย่าคมนาคม

กรุงเทพ ปล้นปลัดสะท้านกรุงเขย่าคมนาคม

  

   

เหตุการณ์มหากาพย์ปล้นสะท้านกรุง ที่มีมูลค่าทรัพย์สินของการถูกโจรกรรมครั้งนี้ สูงหลายร้อยล้านบาท ถูกตีแผ่สู่สังคมให้รับทราบ เคียงคู่กับปัญหาอุทกภัยที่ค่อย ๆ ถาโถมหลั่งไหลเข้ามาสู่กรุงเทพมหานคร

เรื่องที่กล่าวข้างต้น ก็คือเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายใช้รถกระบะ 4 ประตู โตโยต้า รุ่นไฮลักซ์ วีโก้ บุกปล้นคฤหาสน์ของ “นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ปลัดกระทรวงคมนาคม ตั้งอยู่เลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวง-เขตวังทองหลาง ซึ่งลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น  2 หลัง ห่างกัน 100 เมตร มีทางเดินปูด้วยกระเบื้องเชื่อมกันอยู่บนเนื้อที่ 150 ตารางวา รั้วสูง 2.5 เมตร เมื่อช่วงขึ้นวันใหม่ของวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา อาศัยช่วงเจ้าของบ้านไปร่วมงานแต่งงานลูกสาว ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัล เมอริเดียน ถนนวิทยุ คนร้ายได้บุกจับสาวใช้ในบ้าน 2 คน มัดมือก่อนบังคับให้พาไปที่ห้องนอนของปลัดสุพจน์ โดยไม่สนใจทรัพย์สินอย่างอื่น ก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้าซึ่งมีกระเป๋าใส่เงินไว้หลายใบอยู่ในตู้ คนร้ายได้หิ้วกระเป๋าเงินไปจำนวนหนึ่ง แล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว 

หลังเกิดเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใด ๆ โดยบอกว่ายังไม่มีรายละเอียด ต้องรอให้เจ้าของบ้านตรวจสอบทรัพย์สินอีกครั้ง ว่ามีสิ่งใดหายไปบ้าง และมีมูลค่าเท่าไหร่

การปล้นครั้งนี้ จะเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย หากทรัพย์สินที่กลุ่มโจรทมิฬได้ไปนั้น ไม่สูงเกินกว่าหลักสิบล้านบาท ที่สำคัญเป็นเรื่องที่น่าแปลก เมื่อผู้เสียหาย พยายามบ่ายเบี่ยงประเด็นหลักทรัพย์ที่สูญหายไปจนเป็นที่น่าสงสัย รวมทั้งบอกต่อมาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด คล้ายพยายามปกปิดเรื่องราวบางอย่างเอาไว้ แม้กระทั่งหลังเกิดเรื่องพยายามโทรศัพท์ ติดต่อนายตำรวจระดับสูงนายหนึ่งเพื่อขอร้องให้ทำเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด แต่ปรากฏว่าเรื่องเกิดแดงขึ้นมาเพราะคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์โทรศัพท์แจ้งตำรวจมาตรวจสอบกลายเป็นคดีปล้นทรัพย์ จนในที่สุดปลัดสุพจน์ ต้องออกมา
ยอมรับว่าเงินสูญหายไป 5 ล้านบาท เป็นเงินค่าสินสอดแต่งงานลูกสาวเท่านั้น และยังยืนยันในการเข้าให้ปากคำกับตำรวจในฐานะผู้เสียหาย ว่าเงินที่ถูกปล้นไปมีแค่ 5 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุ 6 วัน ตำรวจสามารถติดตามจับคนร้ายได้ 2 คน ได้แก่ นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชมชื่น อายุ 44 ปี และนายเสาร์แก้ว หรือแก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ พร้อมของกลางเงินสด 2,822,000 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท 2 เส้น อุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เครื่องช็อตไฟฟ้า 3 อัน โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การจับกุม เนื่องจากพลเมืองดีแจ้งเบาะแสมา ถึงพฤติกรรมการร่ำรวยผิดปกติของทั้งคู่

และจากแนวทางการสืบสวนสอบสวน ทำให้สังคมตะลึงถึงมูลค่าทรัพย์สินการโจรกรรมเข้าไปอีก เมื่อมีการอ้างว่า ได้ร่วมกับพวกที่ยังหลบหนี ประกอบด้วย นายวีระศักดิ์ หรือ โก้ เชื่อลี อายุ 36 ปี หัวหน้าแก๊ง นายพงษ์ศักดิ์ หรือ เจี๊ยบ นามวงศ์ อายุ 35 ปี นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี และนายคำนวณ หรือนวน เมฆน้อย อายุ 38 ปี ร่วมกระทำผิดด้วย โดยเงินที่ได้จากการปล้นครั้งนี้มีทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท เบื้องต้น นายวีระศักดิ์ ได้ให้เงิน 15 ล้านบาท มาแบ่งกันใช้ไปก่อน ส่วนเงินสดที่เหลือ นายวีระศักดิ์ เป็นคนเก็บไว้ แล้วจะนำมาแบ่งกันภายหลัง โดยตกลงกันว่าเงินที่ได้มาทั้งหมด 50 เปอร์เซ็นต์ แบ่งให้ลูกพี่ของนายวีระศักดิ์ ซึ่งเป็นข้าราชการคนหนึ่ง ส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นของนายวีระศักดิ์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์แบ่งพวกตนที่เหลือ

ที่สำคัญ 2 คนร้ายยังให้การอีกว่า ในตู้เสื้อผ้าที่บ้านของปลัดสุพจน์ ยังมีเงินสดใส่ไว้ในกระเป๋าอีกหลายใบจำนวนไม่ต่ำกว่า 700-1,000 ล้านบาท จึงเป็นการจุดชนวนให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่ตรวจสอบการทุจริตของข้าราชการ ตำรวจ รวมทั้งประชาชนทั่วไปสงสัยว่าถ้าเป็นจริงเช่นนั้นแล้ว ข้าราชการระดับปลัดประทรวงคมนาคม เอาเงินสดมากมายก่ายกองขนาดนั้นมาจากไหน จึงเกิดการติดตามหาที่มาที่ไปของเงินจำนวนดังกล่าวขึ้น เพราะจากการที่นายสุพจน์ ให้การว่า เงินถูกปล้นไป 5 ล้าน กับเงินของกลางที่ตำรวจตามยึดได้จากผู้ต้องหามีถึง 18ล้านบาท มันขัดกับที่ปลัดสุพจน์ ให้การไว้อย่างสิ้นเชิง หลายฝ่ายจึงเชื่อว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำแน่นอน

ต่อมา พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร. ได้แฉถึงขบวนการปล้นอุกอาจครั้งนี้ด้วยว่า คนร้ายได้ร่วมวางแผนมานานนับปี เช่าอพาร์ตเมนต์รายวันชั้นสูงสุดใกล้ที่เกิดเหตุดูลาดเลาไว้รอ นายวีระศักดิ์ ติดต่อมาว่าเตรียมอุปกรณ์ในการลงมือครบถ้วนแล้ว พร้อมที่จะลงมือได้โดยใช้เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เครื่องตัดสัญญาณกล้องวงจรปิด เครื่องตัดสัญญาณประตูเลื่อนหน้าบ้าน หมวกไอ้โม่งไหมพรมสีดำ ถุงมือสีดำ เครื่องช็อตไฟฟ้า วิทยุสื่อสาร ชะแลงเหล็ก วันเกิดเหตุ นายวีระศักดิ์ ได้ขับรถกระบะวีโก้ 4 ประตู สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน กฉ 1166 กาญจนบุรี มารับนายสิงห์ทอง กับพวกที่เหลืออยู่ที่ห้องพักของ นายสิงห์ทอง ก่อนไปหน้าบ้านที่เกิดเหตุ ใช้เครื่องตัดสัญญาณทั้งหมด และให้นายสิงห์ทอง ลงไปเปิดประตูรั้วเข้าไปจับแม่บ้าน 2 คน มาอยู่ในห้องครัวมัดมือแล้วพานำขึ้นไปในห้องนอนแล้วเปิดตู้เสื้อผ้า กรีดกระเป๋าเอาเงินใส่กระสอบที่เตรียมมา แล้วแยกย้ายกันหลบหนี

หลังจากจับกุมผู้ต้องหา 2 คนแรกมาขยายผลการสอบสวนแล้ว จึงตามจับ นายสมบูรณ์ ริยะเทน นายวนัญกฤติ บุตรกัญหา นายบุญสืบ โจมกัน และนายวุฒิชัย พันธวารี ผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุได้ในเวลาต่อมา พร้อมเงินของกลางที่ยึดมาได้ทั้งหมด 18 ล้านบาท อีกทั้งสามารถกดดันให้ นายชยธัช หรือเอก จันทร์ผ่อง  อายุ 33 ปี ลูกชายอดีตเลขานุการของปลัดสุพจน์ ที่ถูกซัดทอดว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปล้น จากสาเหตุการโกรธแค้น ที่แม่บังเกิดเกล้าของตนเอง ถูกบีบให้พ้นจากตำแหน่ง จนต้องเออร์ลี่รีไทร์ออกจากงาน  ติดต่อเข้ามอบตัวพร้อมผู้เป็นแม่ โดยนายเอกให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าเป็นคนบอกข้อมูลเกี่ยวกับบ้านของนายสุพจน์จริง แต่ไม่ได้เป็นคนสั่งการให้เข้าไปปล้น และไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วย ส่วนผู้เป็นแม่นั้น พยานหลักฐานยังสาวไปไม่ถึง

ในเวลาต่อมาอีกไม่นาน นายประพันธ์ เรียงเครือ อีกหนึ่งในผู้ต้องหาร่วมกันปล้นบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม จะเข้ามอบตัวเพิ่มอีกคน โดยเมื่อตอนติดต่อเข้ามอบตัวอ้างว่ามีเงินสด 9 ล้านบาทที่ได้แบ่งมาคืนให้ด้วย แต่พอเข้ามอบตัวแล้ว นายประพันธ์ ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และอ้างว่าเงิน 9 ล้าน ที่เคยบอกไว้ ไม่มีจริง เป็นเพียงคำกล่าวโคมลอยเล่นกับเพื่อนสนิทที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ แม้ตำรวจไม่ปักใจเชื่อในคำให้การ พร้อมกับนำหลวงพ่อโสธร มาให้นายประพันธ์ สาบานแสดงความบริสุทธิ์ด้วย

ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 3 คน ประกอบด้วย นายวีระศักดิ์ หัวหน้าแก๊ง นายพงษ์ศักดิ์ และนายคำนวณ ชุดสืบสวนเริ่มรู้เบาะแสของทั้งหมดแล้ว โดยนายวีระศักดิ์ ยังคงกบดานอยู่ในประเทศลาว เนื่องจากเคยประกอบธุรกิจเกี่ยวกับไม้ ระหว่างไทยกับลาว จนเคยชินพื้นที่ และหลบหนีไปมาระหว่างแขวงคำม่วน กับหลวงพระบาง พร้อมใช้เงินที่ได้มามหาศาล ว่าจ้างคนลาวหาข่าวให้เพื่อใช้ในการหลบหนี ตำรวจยังเชื่อว่า นายคำนวณ หนีไปหลบซ่อนอยู่ด้วยแล้ว ร้อนถึง พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ ผบช.ภ.4 และ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. สนธิกำลังเข้าร่วมกับตำรวจลาว ในการเร่งตามล่าชนิดพลิกแผ่นดิน เนื่องจากเชื่อว่า หากได้ตัวนายวีระศักดิ์ จะทำให้คดีคลี่คลายไปได้ อีกทั้งสาวไปถึงจอมบงการที่อยู่เบื้องหลังได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถเปิดโปงเส้นทางรวยผิดปกติได้กระจ่างแจ้ง ส่วนนายพงษ์ศักดิ์ นั้น ชุดสืบสวนเชื่อว่า หลบหนีอยู่ภาคเหนือตอนบน ซุกซ่อนไปมาระหว่าง จ.เชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา

พิษของการปล้นครั้งนี้ ส่งผลให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย สลัดปากกาเซ็นคำสั่งให้ปลัดสุพจน์ เข้าช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรีทันที พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสอบสวน ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. จะสอบสวน นายสุพจน์ อีกทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ตรวจสอบเรื่องการฟอกเงินด้วย

โดยล่าสุด ป.ป.ช. ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดำเนินการเอาผิดกับ นายสุพจน์ เรื่องร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตในหน้าที่ และหาที่มาที่ไปของเงิน โดยมุ่งปมไปที่สายรัดเงินที่ตรวจเจอในบ้านพัก และเงินของกลาง เบื้องต้นพบว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่ในเขต 3 จังหวัดปริมณฑล และโยงใยไปถึงบริษัทรับเหมาใหญ่แห่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงควบคู่กับ ป.ป.ช.ไปด้วย มี นายธงทอง จันทรางศุ เป็นหัวหน้า เร่งตรวจสอบตอบโจทย์ข้อสงสัยของประชาชน รวมทั้งเพื่อความโปร่งใสขององค์กร

นอกจากนี้ ไปเข้าทางของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จึงนำเรื่องไปแฉในสภาซ้ำอีกดอก ว่าเงินมหาศาลนี้เอี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าหลากสี และมีการโยงใยไปถึงนายใหญ่ของนายสุพจน์ รวมทั้ง รมว.คมนาคม คนเก่า ร้อนถึง นายโสภณ ซารัมย์ อดีต รมว.คมนาคม ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ต้องออกมาแถลงข่าวโต้ตอบ ยืนยันความบริสุทธิ์ พร้อมขู่จะฟ้องกลับ ร.ต.อ.เฉลิม ด้วย

และแม้คดีมหากาพย์ปล้นบ้านนายสุพจน์ ครั้งนี้ จะยังไม่สู่ปลายทางแห่งความสว่าง และแน่นอนจะต้องสืบสาวต่อไปว่า เงินในบ้านจำนวนมหาศาล ท่านปลัดได้มาจากที่ใด และทำไมจึงเก็บเงินสดจำนวนมากเช่นนั้นไว้ในบ้าน จึงทำให้ทุกวันนี้ คดีปล้นปริศนาสะท้านกรุงคดีนี้ ประชาชนทั้งประเทศจึงเฝ้าจับตามองและให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยหวังเพียงอย่างเดียวว่า คดีนี้จะไม่มีมวยล้มต้มคนดู และตราบใดก็ตามที่สามารถลากคอผู้ต้องหาที่เหลือมาดำเนินคดีได้แล้ว คดีนี้จะถึงจุดจบ ซึ่งไม่แน่อาจสาวไปถึงจอมบงการ ตลอดจนขุมทรัพย์มหาศาล และเส้นทางรวยผิดปกติ จะถูกตอบโจทย์ให้กับประชาชนได้อย่างสมบูรณ์  ซึ่งถือได้ว่า เป็นคดีที่น่าติดตามอย่างยิ่ง!!!.







เว็บไซต์ www.legendnews.net ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ในการคัดลอกหรือเปลี่ยนเป็นชื่อเว็บของท่าน