รองเท้าส้นสูงกับผู้หญิงคงเป็นเรื่องที่ขาดกันไม่ได้ จะออกงาน จะออกเดท จะทำอะไรที่ต้องการดูสวยสง่าก็ต้องส้นสูงไว้ก่อน รองเท้าส้นสูงก็มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยอียิปต์ ว่ากันว่าชนชั้นสูงจะต้องใส่รองเท้าส้นสูงในงานพิธีสำคัญๆ ในขณะที่พ่อค้าแม่ค้าโรงฆ่าสัตว์ต้องใส่ส้นสูงอีกแบบนึงจะได้ไม่ต้องเดินลุยกองเลือดของสัตว์ สมัยนี้รองเท้าส้นสูงมีรูปทรงตั้งหลายแบบ แต่ถ้าดูเฉพาะลักษณะส้นอย่างเดียวอาจแยกได้เป็น
Stiletto จะส้นแหลมมากตั้งแต่ 2-10 นิ้ว และมีเส้นผ่าศูนย์กลางของส้นส่วนที่แตะพื้นไม่เกิน 0.4 นิ้ว
• Kitten จะส้นสูงไม่เกิน 2 นิ้ว และมีเส้นผ่าศูนย์กลางของส้นส่วนที่แตะพื้นไม่เกิน 0.4 นิ้วเช่นกัน
• Cone จะมีลักษณะเหมือนกรวย คือ กลมใหญ่ด้านบนและเรียวเล็กลงมา
• Prism คล้ายๆ ส้นแบบ Cone แต่เป็นสามเหลี่ยม
• Spool ทรงนี้จะเหมือนทรงโบราณที่ด้านบนใหญ่แล้วเรียวเป็นก้านลงมาแต่มาบานออกตรงปลายนิดหน่อย
• Wedge เป็นลักษณะทรงเตารีด คือส้นจะสูงและเป็นชิ้นเดียวมาจนถึงด้านหน้าซึ่งจะเตี้ยกว่า
ส้นพวกนี้ยังไงก็ต้องเขย่ง ยืน และเดินอยู่บนส้นสูงตลอดทั้งวัน คงจะมีแค่ส้นแบบ Kitten ที่ไม่สูงจนเกินไป อันตรายจากรองเท้าส้นสูง แค่ง่ายๆ ถ้าใส่ส้นสูงแล้วถือของหนัก เช่น ไปทำงานแล้วก็ไปช็อปปิ้งตอนกลางวันหอบหิ้วของพะรุงพะรัง อาจมีอันตรายข้อเท้าพลิก เอ็นฉีก หรือถึงขั้นกระดูกหัก
ถ้าใส่รองเท้าที่มีลักษณะส้นสูงเทปลายเท้าจิก ยิ่งใส่มาเป็นระยะเวลานานหลายปี ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณมากยิ่งขึ้น เพราะมันเป็นลักษณะการทรงตัวที่ไม่ถูกกายวิภาค โดยจะมีผลกระทบที่ข้อเท้า เพราะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ชิดเท้ามากที่สุด ต่อมาก็หัวเข่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ผิดลักษณะ สุดท้ายคือ กระดูกสันหลัง เป็นส่วนที่จะต้องรับแรงซึ่งเกิดจากการยืนหรือเดินโดยขณะที่เดินอวัยวะทั้ง 3 ส่วน จะต้องทำงานผสมผสานควบคู่กันไป แต่เมื่อใช้งานหนักกล้ามเนื้อจะเกิดการอ่อนล้า ปวดเกร็งที่หลังเพราะเวลาใส่ส้นสูงแกนกระดูกสันหลังจะโน้มไปข้างหน้า ร่างกายจะพยายามรักษาสมดุลโดยอัตโนมัติด้วยการต้าน และเกร็งไม่ให้ลำตัว รวมถึงแผ่นหลังเอนไปข้างหน้าจนมากเกินไป จึงเกิดการแอ่นหลัง พอแอ่นหลังมากๆ ก็จะทำให้กระดูกบริเวณบั้นเอวรับนํ้าหนักมาก เมื่อสะสมเป็นเวลานานหมอนรองกระดูกอาจจะเคลื่อนออกมา และกดทับเส้นประสาท
อาการที่น่าสังเกต คือ ปวดหลังนำ แล้วก็ร้าวลงขา ต่อมาขาอาจชาและอ่อนแรง เดินไกลๆ ไม่ไหว นั่งนานๆ ก็ไม่ได้ อาจชาลงขาเหมือนกัน และถ้าเป็นมากๆ อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะ หรืออุจจาระไม่ได้ ซึ่งต้องรีบพบแพทย์ด่วน หากผู้ที่มีอาการปวดหลังมาก และกังวลว่าจะมีอาการของหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับ
เส้นประสาท อาจต้องทำการเอกซเรย์, เอ็มอาร์ไอ เพื่อประเมินสภาวะของหมอนรองกระดูก และข้อต่อกระดูกสันหลัง “ในปัจจุบันก็มีนวัตกรรมในการรักษาที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือกินยาเพื่อรักษาอาการ นั่นคือ การรักษาด้วยการผ่านคลื่นความร้อนเป็นการรักษาด้วยการผ่านคลื่น Radio Wave เข้าไปเพื่อลดความดันบริเวณหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนมากดทับเส้นประสาท” วิธีนี้จะไม่ทำลาย หรือเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อใกล้เคียง ข้อดีของการรักษานี้ก็คือ ไม่ต้องผ่าตัด ลดการสูญเสียเลือด ใช้เวลาในการรักษาน้อยเพียง 20-30 นาที ก็สามารถกลับบ้านได้ และใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติภายใน 1-2 วัน
รองเท้าที่เหมาะสมจึงควรมี ส้นสูงประมาณ 1 นิ้ว เพื่อให้เฉลี่ยนํ้าหนักไปที่นิ้วโป้งและฝ่าเท้า และรองเท้าควรจะนุ่มจะได้ลดแรงที่เท้ากระแทกกับพื้น ส่วนการแก้ปัญหาด้วยการใส่รองเท้าที่ไม่มีส้นเลย ก็ไม่ดีเพราะนํ้าหนักจะลงที่ส้นเท้าเต็มที่ อาจทำให้เกิดรองชํ้า แล้วปวดฝ่าเท้าและส้นเท้าอีก แต่ถ้าต้องใส่ส้นสูงจริงๆ ก็มีเคล็ดลับ คือ ทุก 2 ชั่วโมงให้พักลงจากส้น แล้วยืดเท้า stretching ให้กล้ามเนื้อคลายจากการเกร็ง ตกเย็นกลับบ้านก็แช่เท้าในนํ้าอุ่นให้เลือดไปเลี้ยง ไหลเวียนดี ก็จะช่วยถนอมสุขภาพเท้าและข้อได้