กรุงเทพ คุม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝากขังศาล
วันนี้ 21 (ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.ศราวุธ โชติสุวรรณ พงส.(สบ2)บก.ป. พร้อมกำลังได้คุมตัว นายวิชัย กองมงคล อายุ 46 ปี นางอุสาห์ บุญเรือง อายุ 57 ปี นายเบเบ เซียงหลี่ อายุ 29 ปี ชาวลีซอ นายธีระเกียรติ แซ่จู อายุ 24 ปี และนายดิลกพัฒน์ รายเรียงวนาขจี อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 -5 “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” คดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น มีไว้เพื่อนำออกใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นหรือประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน มาฝากขังที่ศาลครั้งแรกเป็น เวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค.- 1 ก.พ. เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องรอผลการตรวจสอบประวัติพิมพ์มือ ผลการตรวจสอบรายการเคลื่อนไหวทางบัญชี และคำขอเปิดบัญชี จำนวน 85 บัญชี สอบสวนเจ้าหน้าที่ธนาคารสาขาต่างๆ รวมถึงพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวน 100 ปาก
โดยพนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่10 ม.ค.55 ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นอดีตอาจารย์รายหนึ่ง ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้าย “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” โดยแอบอ้างว่าเป็น เจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หลอกลวงว่า ผู้เสียหายเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน และคดียาเสพติดจะต้องทำธุรกรรมล้างบัญชีเงินฝาก โดยให้ถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดแล้วฝากโอนเข้าบัญชีตามรหัสที่กลุ่มคนร้ายบอก เมื่อดำเนินการเสร็จแล้วให้นำสมุดบัญชีไปปรับยอดรับเงินคืนที่ ปปง. โดยไม่ถูกหักค่าธรรมเนียม จนผู้เสียหายหลงเชื่อถอนเงินสด นำไปโอนเข้าบัญชีของผู้ต้องหาทางผู้รับฝากเงินสด CDM จำนวน 85 บัญชี ช่วงระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.54 - 4 ม.ค.55 จำนวน 287 ครั้ง ครั้งละ 100,000 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 29,150,185 บาท
ต่อมาวันที่ 9 ม.ค.55 เมื่อผู้เสียหายไปติดต่อขอรับเงินคืนกับทาง ปปง. ก็ได้รับแจ้งว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมล้างบัญชีแต่อย่างใด เมื่อผู้เสียหายทราบว่าถูกหลอก จึงเข้าแจ้งความดังกล่าว
คำร้องระบุอีกว่า ต่อมาวันที่ 20 ม.ค.55 เวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดได้ที่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมของกลางบัตรเอทีเอ็ม สมุดบัญชีเงินฝาก จากการตรวจสอบสมุดบัญชีเงินฝากพบว่า มีบัญชีที่ผู้เสียหายถูกหลอกให้โอนเงินไปให้จำนวน 8 บัญชี อันเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นคนร้ายที่หลอกลวงผู้เสียหาย โดยผู้ต้องหาทั้งห้าให้การรับสารภาพ
พนักงานสอบสวนระบุท้ายคำร้องฝากขังว่า คดีนี้หลังจากปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนแล้วมีผู้เสียหายมาแจ้งที่ สำนักงาน ปปง. ว่าถูกกลุ่มคนร้ายหลอกลวงเชื่อว่าเป็นกลุ่มเดียวกันอีก 52 ราย รวมความเสียหายทั้งหมด 50 ล้านบาท และมีการกระทำผิดอย่างเป็นขบวนการ ผู้ร่วมกระทำความผิดหลบหนียังจับกุมไม่ได้อีกหลายราย จึงขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานอาจทำให้เสียหายต่อรูปคดี
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับวันนี้ ไม่มีญาติผู้ต้องหามายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำตัวผู้ต้องหาชายทั้ง 4 คน ไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนนางอุสาห์ ถูกแยกนำตัวไปคุมขังไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ต่อไป.