การที่คนเราดำเนินกิจวัตรประจำวัน
แต่จะมีสักกี่คนที่เฝ้าระวังว่าเท้าเราป่วยหรือยัง ???
โดยเฉพาะผู้ที่ต้องประกอบอาชีพหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง ที่ทำให้เท้านั้นถูกใช้งานมากเกินไปรวมทั้งใส่รองเท้าที่มีลักษณะที่อาจทำให้โครงสร้างเท้านั้นผิดปกติและผิดรูปไป
โรคที่เกี่ยวกับเท้า
1.) โรค Hallux varus คือ การที่นิ้วหัวแม่เท้าผิดรูป เนื่องจากการถูกเบียดเป็นเวลานาน คนไข้บางราย อาจมีอาการปวดอย่างรุนแรง และไม่สามารถเดินหรือวิ่งได้ตามปกติ
วิธีการรักษา
-
ผ่าตัด เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูง และผลจากการผ่าตัดนั้นอาจไม่ช่วยให้โครงสร้างของนิ้วหัวแม่เท้า กลับเข้าสู่สภาพปกติ
-
การใช้วัสดุเข้าเฝือก เป็นวิธีที่มีความปลอดภัย และคนไข้สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
วิธีการป้องกัน
-
ควรเลือกใส่รองเท้าที่ไม่คับหรือแน่นจนเกินไป โดยเฉพาะรองเท้าแฟชั่นหัวแหลม
-
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและประกอบกิจกรรม ที่เสี่ยงให้นิ้วหัวแม่เท้าสัมผัสกับรองเท้า มากจนเกินไป
2.) โรค Flat foot , Lap foot ( Pes planus ) คือ ความผิดปกติของฝ่าเท้าที่แบนราบเป็นกรรมพันธุ์ ซึ่งเด็กและวัยรุ่นสมัยนี้จะเป็นกันมาก เพราะชอบใส่รองเท้าแตะเป็นเวลานานๆ ทำให้เสียสมดุลของร่างกาย , เหนื่อยง่าย , มีอาการปวดข้อเท้าบ่อยๆ ซึ่งทำให้เกิดโรคข้อเท้าเสื่อม ( Rheuma – tioid Arthritis )
วิธีการรักษา
-
ใส่ฟื้นรองฝ่าเท้าซึ่งอาจเป็นวัสดุซิลิโคน หรือตัดพื้นรองเท้าให้ถูกตามลักษณะที่จะช่วยพยุงอุ้งเท้า
-
ไม่มีการผ่าตัดเพราะไม่จำเป็น
3.) โรคตาปลา (Corn) คือ การที่ผิวหนังด้านหนาและแข็งเนื่องจากแรงเสียดสีและแรงกด ตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่ บริเวณฝ่าเท้าและนิ้วเท้า เนื่องจากการที่ใส่รองเท้าคบแน่นจนเกินไป และการที่ผิวหนังบริเวณเท้าแห้ง และขาดความชุ่มชื่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
วิธีการรักษา
-
ปรับสภาพผิวบริเวณที่เป็นตาปลาโดยใช้มีดโกนขูดออก , ใช้เครื่องกรอ
-
หากมีรากตาปลาที่ลึกมากอาจใช้ Duofilm (ดูโอฟิล์ม) ทาบริเวณนั้น หรือใช้แก๊สไนโตรเจนเหลวฉีดพ่นบริเวณที่เป็นตาปลา ที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเชียส จะทำให้รากของตาปลาตาย
วิธีการป้องกัน
-
ดูแล หมั่นทำให้เท้าไม่แห้ง ทาครีมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ
-
อย่าให้เท้าเสียดสีหรือเกิดแรงกดกับรองเท้า
4.) หูด ( Wart )
เกิดจากเชื้อไวรัส ชนิด เอชพีวี (HPV) เมื่อเชื้อไวรัสแทรกซึม เข้าสู่ใต้ชั้นเซลล์ผิวหนัง ก็จะเกิดการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหูดงอก ออกจากผิวหนังส่วนนอก
หูดชนิดทั่วไป (Common warts) จะมีลักษณะเป็นตุ่มแข็งนูนสีเหลืองหรือน้ำตาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-10 มิลลิเมตร
หูดชนิดเป็นติ่ง (Filiform warts) จะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้องอกแล้วแต่ตามขนาดใหญ่-เล็ก
วิธีการรักษา
-
ปรับสภาพผิวหนังโดยให้หัวกรอ ขจัดเซลล์บริเวณนั้นออกและใช้โฟมส่วนผสมยูเรีย 5% ทาบริเวณนั้นอย่างสม่ำเสมอ
-
การผ่าตัดเล็ก เพื่อกำจัดหูดที่มีขนาดใหญ่ออกและใช้ไนโตรเจนเหลวจี้บริเวณหูด
วิธีการป้องกัน
-
อย่าเกาบริเวณที่เป็นหูด
-
ทำให้ผิวหนังบริเวณเท้าชุ่มชื่นไม่แห้งกร้าน
5.) ส้นเท้าแตก ( Craeked Heels )เป็นโรคที่คนไทยส่วนใหญ่มากกว่า 50% มีปัญหามากเหตุเพราะเท้าแห้ง (xerosis) และเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย บางรายอาจมีอาการอักเสบรุนแรง หรือความยาวของขาทั้งสองข้าง ไม่เท่ากันทำให้เกิดแรงกดมากบริเวณส้นเท้า
วิธีการรักษา
1.) ทำการปรับสภาพผิวหนังบริเวณส้นเท้าที่แตก โดยอาจใช้มีดโกนขูดออกจากนั้นใช้เครื่อง Podolog กรอบริเวณผิวหนังให้ผิวเรียบ ขจัดเซลล์บริเวณนั้นออกและใช้โฟมส่วนผสมยูเรีย 5% ทาบริเวณนั้นอย่างสม่ำเสมอ
2.) เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังโดยใช้ครีมโฟมที่มีส่วนผสมของยูเรีย 5% ถึง 9%
6.) เล็บขบ (Unguis Incarnatus) คือเกิดจากเล็บที่งอกลึกลงไปในชั้นผิวหนังบริเวณรอบๆ เล็บเท้า สามารถทำให้มีอาการปวดอย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการอักเสบ เป็นหนอง หรือมีอาการติดเชื้อ
-
เกิดจากการที่เราใส่รองเท้าและถุงเท้าที่รัดเกินไปจนกระดูกนิ้วเท้าเบียดซ้อนเกยกัน
-
เกิดจากการตัดเล็บที่ไม่ถูกต้อง หรือลึกจนเกินไป
-
เกิดจากการที่นิ้วเท้ามาซ้อนเกยหรือเบียดกัน
-
เกิดจากการที่ปลายนิ้วเท้าไปชนหรือกระแทกของแข็งอย่างแรง หรือจากการเล่นกีฬา เทนนิส แบตมินตัน ฟุตบอล บาสเตบอล กีฬาเหล่านี้จะถำให้กระดูกนิ้วทำทำงานหนัก
วิธีการรักษา
ผู้เชี่ยวชาญด้านโพโดจิสต์จะมีกรรไกรตัดเล็บชนิดพิเศษ ที่ทำมุมองศาในการตัดเอาเล็บขบออกได้ และมีเครื่องเซาะเล็บไฟฟ้า โดยจะไม่ใช้วิธีถอดเล็บซึ่งจะทำให้เจ็บมากและแผลอาจจะติดเชื้อได้ง่าย ทำให้เล็บที่งอกออกมาใหม่ไม่สวยงาม จากนั้นจะใช้วิธีจัดเล็บโดยใช้วัสดุยกแผ่นเล็บขึ้นเพื่อแก้ปัญหาแบบถาวร
วิธีการป้องกัน
-
ควรตัดเล็บให้ถูกวิธีทางโครงสร้าง คือ ตัดในแนวตรงและด้านบนตัดแบบจอบ
-
ใส่รองเท้าที่มีขนาดพอดี ใส่สบายไม่คับแน่นเกินไป
-
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดการเสียดสีหรือ การชนกระแทก
คุณรู้หรือไม่ว่าความเครียดส่งผลต่อสุขภาพเล็บและทำให้เล็บผิดปกติ (Nail Psoriasis) ความเครียดนอกจากจะส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายๆ ด้าน เช่น หลอดเลือด , คลอเลสเตอรอล , หัวใจ ฯลฯ ซึ่งจากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมัน พบว่าความเครียดส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและโครงสร้างของเล็บมือ , เล็บเท้า
ลักษณะอาการที่สังเกต
คือคุณไม่ได้ทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นเชื้อราที่เล็บ แต่ทำไมเล็บคุณถึงได้ผิดปกติ เช่น เปื่อย เป็นคลื่นลอน เล็บแตก ถ้าโดยผิวเผินจะมีลักษณะเหมือนเชื้อรา ดังนั้นการทาครีมป้องกันเชื้อรา หรือการทายาจึงจะไม่ได้ผลในการรักษา
วิธีการรักษา
-
ทำการแก้ไขบริเวณเล็บที่ผิดปกติ โดยโพโดโลจิสต์ จะมีความเชี่ยวชาญในการปรับสภาพเล็บโดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัย
-
การลดความเครียด , พักผ่อนให้เพียงพอ
-
การทานวิตามินและอาหารที่ช่วยบำรุงเล็บจำพวกโปรตีน(เคราตีน) ธาตุเหล็ก แคลเชียม สังกะสีซึ่งพบมากใน ถั่ว นม พืชผัก เนื้อสัตว์
7).โรคเล็บกระเบื้อง Gryposis คือการที่เล็บได้รับการเสียดสี หรือ กระแทกจากการทำกิจกรรมเสี่ยง ทำให้อากาศเข้าไปแทรกตัวในชั้นเซลล์เล็บ ทำให้เล็บสร้างตัวเป็นชั้นหนาๆ ทำให้เชื้อโรคเช่นแบคทีเรีย ไปแทรกตามชั้นเล็บ สีเล็บจะเข้มและหนามาก หากไม่รักษาจะทำให้เล็บเสีย
วิธีการรักษา
1).ทำการกรอเล็บให้บางที่สุดจน ถึงชั้นปกติ
2).ทำการพ่นไฮโดรเจ้น เปอร์ออกไซด์ 3 เปอร์เซ็นต์เพื่อทำความสะอาดเล็บและฆ่าเชื้อโรค
3).ตัดแต่งเล็บให้ถูกต้องตามลักษณะทางโครงสร้าง
4.)ใช้น้ำมันบำรุงเล็บทาสม่ำเสมอ
8).เล็บเหลืองจากการทาเล็บเป็นเวลานาน การที่สุภาพสตรีทาเล็บเป็นเวลานาน จะทำให้เล็บขาดการแลกเปลี่ยนออกซิเจน ที่จะช่วยในการเจริญเติบโตของเล็บ และผลัดเซลล์เล็บ ทำให้เล็บเป็นสีเหลือง หรือ สีเข้ม ดังนั้นไม่ควรที่จะทาเล็บติดต่อกันเป็นเวลานาน และหมั่นทำความสะอาดเล็บโดยใช้แปรงอ่อนขัด ถู ก็จะช่วยให้เล็บไม่เหลืองได้
วิธีการรักษา
1). ทำการกรอชั้นเล็บที่เหลืองออกโดยใช้หัวกรอแบบละเอียด
2).พ่นสเปรย์รักษาเล็บและตัดแต่งให้สวยงาม
3.)ใช้น้ำมันบำรุงเล็บทาสม่ำเสมอ
เล็บเป็นอวัยวะส่วนที่ปกป้องและส่วนที่ทำให้นิ้วมือและเท้ามีความมั่นคง ซึ่งเล็บทั้งสิบนิ้วนี้เองที่เป็นส่วนให้ความสวยงามแก่นิ้วมือและนิ้วเท้า เมื่อเราเป็นเด็กการเจริญเติบโตของเล็บก็จะสมบูรณ์และไวกว่าผู้สูงอายุ รวมทั้งความหนาของเล็บด้วย ซึ่งทางการแพทย์เยอรมันได้จำแนกความผิดปกติของเล็บไว้ดังนี้
9.) โรคเล็บพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว (Onych oschisis) เกิดจากการที่เล็บงอกไม่สมบูรณ์ ทำให้เล็บบริเวณขอบเล็บ และแผ่นเล็บไม่สัมผัสกัน , หรืออีกสาเหตุเกิดจากการทำงานที่ต้องได้รับความเปียกชื้น อยู่ตลอดเวลา เช่น การล้างมือ , ล้างจาน , การทำงานที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี เช่นช่างทำเล็บ ,ทำสีผม ฯลฯ
อาการเซลล์เล็บบริเวณขอบเล็บจะถูกทำลาย มีสีขาวซีดและจะลามไปจนถึงแผ่นเล็บและส่วนเล็บชั้นใน บางครั้งมีอาการแสบคัน
วิธีการรักษา
ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตัด ทำการตัดแต่งเล็บที่เสียออกและทำการบำรุงรักษาเล็บที่ดีไว้ ซึ่งคนไข้ต้องหลีกเลี่ยงการโดนน้ำ , น้ำสบู่ คือสารเคมี ใส่ถุงมือเวลาทำกิจกรรมเสี่ยง
10.) โรคเล็บม้วน (Tubenail) คือความผิดปกติของเล็บที่เป็นมากโดยเฉพาะนิ้วโป้งเท้า ส่วนมากจะเกิดกับสตรีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป และเกิดจากความผิดปกติโดยกำเนิด
อาการคือแผ่นเล็บ จะม้วนตัวเข้าด้านข้างของผิวหนังบริเวณนิ้วเท้าทั้ง 2 ด้าน จะมีอาการปวดมากเพราะเล็บจะม้วนฝังเข้าไปในชั้นผิวหนัง บางรายอาจมีอาการอักเสบ เป็นหนอง ติดเชื้อ
วิธีการรักษา
ผู้เชี่ยวชาญจะทำการจัดเล็บ และตัดแต่งเล็บเพื่อปรับโครงสร้างจากการเจริญของเล็บในองศาที่ถูกต้อง