ผศ.สุนิดา ปรีชาวงษ์ อาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการกลุ่มศึกษานโยบายด้านการช่วยเลิกบุหรี่ระดับประชากร สนับสนุนโดย ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า มาตรา 16 ของกรอบอนุสัญญาขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการควบคุมยาสูบ (FCTC) มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและลดการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ยาสูบในเด็กและเยาวชน ประกอบด้วยแนวทางสำคัญ 3 ด้าน คือ ห้ามขายบุหรี่โดยผู้เยาว์, ห้ามขายให้ผู้เยาว์ และห้ามขายแบบแยกมวน หรือขายเป็นซองเล็กๆ
(ผศ.สุนิดา ปรีชาวงษ์)
นอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบายควรพิจารณามาตรการป้องกันเด็กและวัยรุ่นเข้าถึงบุหรี่ได้ยากมากขึ้น นอกเหนือจากมาตรการทางภาษีและราคาที่จะช่วยป้องกันให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ได้ยากขึ้น มาตรการที่ควรศึกษาหรือบังคับใช้เพิ่มเติมคือ การจำกัดจำนวนร้านค้าปลีก (Retail stores)
"จากที่มีการถกเถียงถึงความเหมาะสมของการนำมาตรการห้ามขายแบบแยกมวนมาใช้ในประเทศไทยนั้นจากฐานข้อมูลขององค์การอนามัยโลก พบว่า มี 97 ประเทศแล้ว ที่ดำเนินงานตามมาตรา 16 ของ FCTC ในเรื่อง การห้ามขายบุหรี่แบบมวนหรือซองเล็ก “sale of cigarettes individually or in small packets prohibited” และ การห้ามขายบุหรี่แบบแบบมวน จะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ภาษีที่กระทรวงการคลังจะจัดเก็บมากนัก เนื่องจากมีตัวแปรที่สำคัญคืออัตราภาษีต่อซองที่กระทรวงการคลังสามารถปรับให้สูงขึ้นร้อยละ 2-5 เพื่อชดเชยกับปริมาณบุหรี่ที่ขายได้ลดลงไม่เกินร้อยละ 5"
ผศ.สุนิดา กล่าวอีกว่า ตามพ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ.2509 มาตรา 24 กำหนดว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดขายหรือมีไว้เพื่อขายยาเส้นหรือยาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบ” ดังนั้น พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ.2509 ได้ห้ามการขายแบบซองเล็กเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการเสียภาษีเท่านั้น ซึ่งยังไม่ครอบคลุมวัตถุประสงค์เพื่อลดอุปสงค์หรือความสามารถในการซื้อบุหรี่ของเยาวชน จึงจำเป็นต้องมีข้อห้ามการขายบุหรี่แบบแบบมวน ในพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ด้วย