‘เบอร์เลย์’ ใบยาสูบพลิกชีวิตชาวนา
ส่วนมากจะไม่มีก้านใบ มีหูใบ ฐานใบจะหุ้มลำต้นไว้ครึ่งหนึ่ง ใบจะมีขนปกคลุม ดอกออกเป็นช่อสีชมพู ขาวหรือแดง มีกลีบดอก 5 กลีบ
วันพฤหัสบดี 29 มกราคม 2558 www.legendews.net
‘เบอร์เลย์’ ใบยาสูบพลิกชีวิตชาวนา - เศรษฐกิจเกษตร
“เบอร์เลย์” เป็นใบยาที่เกษตรกรในจังหวัดเพชรบูรณ์นิยมปลูกกันมาก โดยลักษณะลำต้นตั้งตรง มีขนซึ่งให้ความรู้สึกเหนียวเมื่อสัมผัส ลำต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวมีขนาดใหญ่ยาวประมาณ 50-60 ซม. และกว้างประมาณ 25 ซม. ขอบใบเรียบ
ส่วนมากจะไม่มีก้านใบ มีหูใบ ฐานใบจะหุ้มลำต้นไว้ครึ่งหนึ่ง ใบจะมีขนปกคลุม ดอกออกเป็นช่อสีชมพู ขาวหรือแดง มีกลีบดอก 5 กลีบ โดยส่วนล่างของกลีบดอกเชื่อมติดกัน ทำให้ดอกมีรูปร่างเหมือนระฆัง เมล็ดมีขนาดเล็กรูปไข่สีน้ำตาลเข้ม ผิวเมล็ดมีเส้นสานกันเป็นร่างแห เมื่อบ่มจนแห้งแล้วจะมีกลิ่นฉุน สีคล้ำ น้ำหนักเบา โครงสร้างโปร่ง สามารถดูดซึมน้ำหอมน้ำปรุงได้ดี
จันทรา ยิ่งยง ชาวไร่ หมู่ 8 บ้านคลองสีฟัน ต.ลานบ่า อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เล่าว่า เกษตรกรนิยมปลูกต้นใบยาในช่วงฤดูแล้ง หรือหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว โดยขั้นตอนการปลูกจะรอจนกว่าต้นกล้าแข็งแรงอายุประมาณ 20-25 วัน จากนั้นย้ายลงปลูกในแปลงที่ยกร่องเตรียมไว้ ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 50 ซม. ช่วงแรกรดน้ำวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 3-5 วัน จากนั้นทิ้งระยะห่าง 3-5 วันต่อครั้ง ส่วนปุ๋ยที่ใส่ให้ต้นยาสูบนั้นจะเป็นปุ๋ยเคมีสูตร 14-9-20 และสูตร 27-0-0 โดยจะใส่ไร่ละ 5 ถุง ถุงละ 50 กิโลกรัม โดยใช้วิธีการหว่านไปตามร่อง และวิธีฝังให้ห่างจากต้นยาสูบประมาณ 10 ซม.
หลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 60-70 วันก็จะเริ่มเก็บใบได้ ซึ่งจะเก็บจากโคนต้นขึ้นมาหายอด ครั้งที่ 1 จะเก็บประมาณ 5-6 ใบ จากนั้นจะเว้นประมาณ 10-15 วัน จึงจะเก็บครั้งที่ 2 และเว้นประมาณ 10-15 วัน จึงจะเก็บครั้งที่ 3 ซึ่ง ก็จะเก็บวิธีเดิมแต่จะเป็นการเก็บใบที่เหลือทั้งหมด
หลังได้ใบยาสูบ สดมาแล้วก็นำมา “บ่มอากาศ” ซึ่งเป็นการแขวนตากแห้งอยู่ใน โรงบ่มที่มีหลังคาแต่มีด้านข้างที่เปิดโล่ง เพื่อให้อากาศหมุนเวียนได้สะดวก ลมระบายได้ดีโดยไม่ต้องใช้ความร้อนเพิ่มเติม เพื่อกำจัดความชื้นจากใบยาสูบอย่างเหมาะสม โดยใช้เวลาประมาณ 30-45 วัน
การบ่มอากาศแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1. ระยะทำสีเหลือง 2. ระยะทำสีน้ำตาล 3. ระยะทำใบแห้ง และ 4. ระยะทำก้านแห้ง เมื่อได้ใบยาตามที่ต้องการแล้วก็จะส่งไปยังบริษัทที่รับซื้อในราคากิโลกรัมละ 70 บาท ปัจจุบันสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เฉลี่ย 300 กิโลกรัมต่อไร่ ปลูก 10 ไร่ ใน 1 รอบการปลูกจะมีกำไรประมาณ 110,000 บาท ซึ่งถือว่าราคาดีเมื่อเทียบกับการปลูกข้าว
ด้านนายสงกรานต์ ภักดีจิตร นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์จังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า ใบยาสูบสายพันธุ์เบอร์เลย์ปลูกมากทางภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ สุโขทัย เพชรบูรณ์ และบางจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยสามารถปลูกได้ในดินหินปูน อาศัยปุ๋ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ปัจจุบันมีสมาชิกสมาคมกว่า 600 คน แต่มีจำนวนผู้ปลูกใบยาสูบพันธุ์เบอร์เลย์ กว่า 5,000 ครัวเรือน คิดเป็น 32,000 ไร่ กระจายอยู่ในพื้นที่ อ.หล่มสัก เมือง หนองไผ่ ชนแดน และ วังโป่ง สามารถผลิตใบยาแห้งได้ประมาณ 13 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าส่งออกประมาณ 15,000 ล้านบาท.