นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงแผนปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวี ว่า ได้ตั้งเป้าหมายทำให้ราคาก๊าซเอ็นจีวีสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยมีโครงสร้างราคาไม่แตกต่างจากเชื้อเพลิงอื่น ทั้งน้ำมัน หรือก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ซึ่งควรจัดเก็บทั้งภาษีสรรพสามิต และเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเฉลี่ยแล้วมีผลต่อราคาเอ็นจีวีเพิ่มอีกกก.ละ 4-5 บาท จากต้นทุนจริงที่ศึกษาไว้ที่กก.ละ 14-15 ส่วนดำเนินการหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก

อย่างไรก็ตามหากผลักดันให้ราคาเอ็นจีวีมีราคาที่ใกล้เคียงกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น หากราคาน้ำมันปรับลดลงเอ็นจีวีก็ปรับลดลงได้เช่นกัน  ขณะเดียวกันในอนาคตจะทำใหัเกิดความชัดเจนในการเลือกใช้พลังงานภาคขนส่ง เหมือนกับนโยบายปล่อยลอยตัวราคาแอลพีจีทีที่ทำไปแล้ว

"สนพ.อยู่ระหว่างการศึกษาจะเลือกใช้แนวทางใดในการปรับโครงสร้างราคา ซึ่งยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะหากไม่เริ่มทำในรัฐบาลชุดนี้ เพราะถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมือง ย่อมไม่กล้าตัดสินเกรงกระทบกับประชาชน เนื่องจากโครงสร้างราคาใหม่ อาจทำให้เอ็นจีวีมีราคาถึงกก.ละ 20 บาท"

สำหรับหลักการโครงสร้างราคาเชื้อเพลิง ต้องมีความเป็นธรรมเพราะไทยยังต้องนำเข้า ทั้งน้ำมัน และก๊าซทุกชนิด และยังเป็นราคาที่สะท้อนตลาดโลกดัวย ดังนั้นหากโครงสร้างราคาน้ำมัน มีภาษีและกองทุนน้ำมันฯ ด้านเอ็นจีวีควรมีด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการใช้เอ็นจีวีในภาคขนส่ง เทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น พบว่าใช้เอ็นจีวีประมาณ 12-13 % ดีเซล 49.9% เบนซิน 27.4% และแอลพีจี 10.1% ขณะที่มีรถใช้เอ็นจีวีสะสมอยู่ 451,618 คัน คิดเป็น 3% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมด

นอกจากนี้จากตัวเลขของกรมขนส่งพบว่ารถบรรทุก รถหัวลากที่มีอยู่ 934,291 คัน ใช้เอ็นจีวี 52,825คัน คิดเป็น 5% ส่วนรถโดยสารที่มีอยู่ 128,477 คัน ใช้เอ็นจีวี 13,145 คัน คิดเป็น 9%