ตื่นรู้! อิทธิฤทธิ์ลอยได้ คนทำน่ากลัวแล้ว คนเชื่อโง่กว่า!! [ชมคลิป]
โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวันหรือไม่? แล้วแต่ใครจะคิด แต่โลกแห่งการหลอกลวง โดยใช้คำอ้าง ภาพแห่งอภินิหาร เหาะได้บ้าง ลอยได้ด้วย หรือเลยเถิดไปถึงขั้นแสดงตัวเป็นคนมีบุญญาธิการ มีเหงื่อ มีเลือดเป็นพระธาตุ เก่งฉกาจถึงขั้นปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ยังมีให้พบเห็นในสังคมไทยมากมาย แม้สังคมโลกจะเดินสู่ยุคดิจิตอลแล้วก็ตาม แต่คนบางกลุ่มก็ยังพยายามหากินด้วยสร้างความเชื่อบางอย่างเพื่อหวังจะให้ผู้คน ยกย่องว่า ข้าคือผู้วิเศษ เชื่อข้าเถอะ!!
จับผิดเพื่อความตื่นรู้!
(ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย")
ตราบใดที่ความเชื่อแบบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่เคยจางหายไปจากสังคมไทย มายาข้าอยากเป็นผู้วิเศษ จากฝีมือคนเป็นผู้อำนวยการสร้างขึ้นก็ปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ
บางครั้งแง่ดีของพลังโซเชียลฯ ก็สามารถไขปริศนาความงมงายและอิทธิฤทธิ์บางอย่างได้กระจ่างในเวลารวดเร็ว บอกได้เลย ถ้าใครจะเล่นกล อำนวยการสร้างให้ตนเองเป็นผู้วิเศษ พ.ศ.นี้มีแต่ตายกับตาย อาจจะอยู่ในสังคมนี้ยากยิ่ง แม้ในมุมแห่งความเชื่อของคนในสังคม ซึ่งเชื่อในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ยังมีเสงสลัวอยู่บ้าง แต่กลลวงบางชนิดก็ถูกเปิดเผยอย่างน่าตลกขบขัน
ล่าสุด เมื่อ 10 ส.ค. 2558 มีภาพที่เรียกเสียงฮือฮาไปทั่วโซเชียลฯ เป็นอย่างมาก นั่นคือ การลอยตัวกลางอากาศ ของ ผู้เรียกตนเองว่า เป็นฤาษีพุทธจรัล เจ้าสำนักอาศรมอมราวดี ต.แม่ริม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งออกมาแสดงอิทธิฤทธิ์ลอยตัว ในงานประกอบพิธีสถาปนาองค์พระพิฆเนศวร และองค์จำลองพระสยามเทวาธิราช โดยมีอาจารย์พราหมณ์รัชนิกานต์ มาจากประเทศอินเดีย ร่วมในพิธีพร้อมพระสงฆ์จากวัดหลายแห่งของ อ.แม่ริม รวมทั้งสุวิทย์ สุบงกฎ ผวจ.กาฬสินธุ์, สรสีห์ โกศลนาวิน ประธานมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป, เฉลิม สารแปง นายกเทศมนตรีตำบลเชิงดอย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ และผู้เฒ่าผู้แก่มาร่วมในพิธี โดยมีการสวดทั้งพุทธและพราหมณ์ เพื่อให้เกิดสิริมงคลต่อชาติบ้านเมือง ใช้เวลาทำพิธียาวนานกว่า 3 ชั่วโมง
เจ้าตัวระบุว่า นี่คือ ปาฏิหาริย์ ของตน ผลจากเการฝึกโยคะสูตรที่ต้องใช้การฝึกร่างกายประกอบกับสมาธิที่แน่วแน่อย่างสูง และมีลูกศิษย์ลูกหามากมายที่เชื่อว่า ท่านทำได้จริง อย่างน่าตกตะลึง และเป็นบุญตายิ่งนัก!
(ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย")
ภาพลอยตัวเผยแพร่ไม่นานนัก ก็มีการแชร์และไขความลับของการลอยตัวออกมาเป็นระยะๆว่า นี่คือ กลลวงที่น่าขบขันสิ้นดี โดยแฟนเพจ “FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย” มีการโพสต์และนำเสนอเรื่องการลอยตัวของตัวจากสื่อต่างและคนที่สามารถจับผิดได้ว่า นี่คือ มายาลวงที่ง่ายต่อการจับผิด โดยพิสูจน์ด้วยการหยิบอัลบั้มรวมภาพลอยเหาะ ของเฟซบุ๊ก "พุทธจรัล แก่นธรรม รามราชย์ " มาเทียบให้เห็นถึงลักษณะของเส้นผมและเสื้อผ้าที่กระดกปลิวขึ้นเพราะแรงยกตัวจากการกระโดดขึ้น
เท่านั้นยังไม่พอ มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเบาะที่รองอยู่ด้านใต้ของฤาษีน่าจะเป็นเตียงสปริงที่ช่วยเพิ่มแรงเด้งในยกตัวกระโดด ขณะที่ชาวโซเชียลฯ นำภาพล้อเลียนการกระโดดดังกล่าวมาเผยแพร่ ระบุด้วยว่าเป็นการกระทำที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ไม่ใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แต่อย่างใด
มีเสียงวิจารณ์มากมาย เพราะเหตุใด ผู้ตั้งตนเป็นฤาษี ถึงพยายามออกมาเพื่อสร้างตนเองเป็นผู้วิเศษ คำตอบง่ายๆ ก็คือ การสร้างพลังศรัทธา เพื่อให้คนมาเคารพนบน้อมในตัวตน เมื่อเกิดศรัทธาก็จะกลายเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ สร้างบุญบารมี ขยายฐานลูกศิษฐ์ลูกหาให้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี หากจะวิเคราะห์จริงๆ ผลร้ายของความเชื่อดังกล่าว ตัวฤาษีพุทธจรัล ทำผิด ไม่ได้น่ากลัวไปกว่า พวกที่เชื่ออย่างงมงาย โดยไม่คิดถึงเหตุและผล เหมือนที่มีการโพสต์กันว่า “ไอ้คนโดดไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้คนที่เชื่อนี่สิหนักกว่า”
ปาฏิหาริย์มาร์เก็ตติ้ง สะพรั่ง โซเชียลฯ
ฤาษีลอยตัวได้ ไม่ใช่กรณีที่ถูกจับผิดกันแบบตลกขบขันกรณีแรกๆ ยังมีหลากหลายกรณีอย่างล่าสุดที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก Navaporn Srikaewnawan โพสต์ภาพพร้อมระบุข้อความว่า
"เรื่องเหลือเชื่อ!! เมื่อพระ อ.ชา พระอนานันต์ ญาณธนะโชติ หรือพระอาจารย์ชา วัดวังหอมพุทธาราม ต.วังอ่าง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ได้รับอุบัติเหตุทำให้ศีรษะแตกขณะทำงาน ในตอนแรกเหล่าลูกศิษย์ตกใจ ช่วยกันจะทำแผลแต่แล้วกลับต้องดีใจกันเพราะงานนี้ พระอาจารย์ศีรษะแตก แต่ลูกศิษย์ชอบใจ เพราะจะได้โลหิตท่าน เก็บไปบูชา นี่คือเรื่องมหัศจรรย์ที่เห็นกับตาตัวเอง”
ฉันใดฉันนั้น เมื่อเรื่องดังกล่าวถูกแชร์ขึ้นมากมาย ได้มีการจับผิดได้ว่า เป็นการหลอกลวงอย่างสิ้นเชิง โดยรศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ภาพถึงกรณีดังกล่าว พร้อมข้อความ ระบุว่า
“กรณีพระเหงื่อ-เลือดไหล แล้วกลายเป็นพระธาตุ ล่าสุดสำนักพุทธฯ สั่งให้มีการตรวจสอบแล้วนั้น อ.วีรชัย คิดว่าพระท่านคงเอา Polymer ดูดน้ำมาทาตัวหรือเปื้อนตามเสื้อผ้า และเมื่อเหงื่อออกก็จะดูดน้ำกลายเป็นเม็ดๆ เหมือนพระธาตุ ที่หัวแตกน่าจะเลือด(ที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่แล้ว) โดน polymer กลุ่มนี้ดูดน้ำเข้าไปกลายเป็นเม็ด ๆ polymer ดูดน้ำมีหลายรุ่นหลายขนาด หาซื้อได้ทั่วไปหรือแกะเอาจากผ้าอ้อมเด็กก็ได้ครับ”
(ย้อนรอยก่อนหน้า ผู้อ้างว่าสร้างปาฏิหาริย์ได้เช่นกัน)
หลังจากมีผู้คนเริ่มรู้ความจริง ชาวบ้านในพื้นที่เองก็เริ่มตาสว่าง รวมตัวไล่พระภิกษุอวดอุตริเหงื่อ-เลือดไหลออกเป็นพระธาตุ ระบุตั้งแต่เข้ามาพำนักในวัดตั้งตัวเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ยังสร้างความขัดแย้งในชุมชนจนชาวบ้านแตกเป็น 2 ฝ่าย ทะเลาะกันมาตลอดกว่า 3 ปี และในที่สุดก็ถูกขับไล่ออกไปจากพื้นที่
(ภาพล้อเลียน ท้าพิสูจน์ว่อนเน็ต - ขอบคุณภาพในคอมเมนต์: แฟนเพจ "FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย")
ถ้าลองสำรวจผ่านโลกโซเชียลฯ จะพบว่า มีวิธีหากินด้วยการสร้างความเชื่อ หลากหลายเพจ เว็บไซต์ เป็นร้อยๆ พันๆ บางเว็บไซต์ก็พยาบาลลงเรื่องความเชื่อต่างๆ เช่น นำเรื่องพญานาคมาเป็นจุดสร้างความเชื่อ และหลายๆ เว็บมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ต้องการขายเครื่องรางของขลัง บ้างก็ให้ส่งที่อยู่ผ่าน inbox ข้อความเพื่อจะให้ติดต่อไป เพื่อเข้าพิธีกรรมบูชา บางแห่งก็ขายหินปลุกเสก เพื่อนำไปบูชาไว้ในบ้านแล้วมั่นคงเหมือนหิน ไม่แตกแยก ซึ่งก็มีหน้าม้าในเว็บบอด ออกมาสรรเสริญเยินยอกว่า บูชาแล้วดีเช่นนั้นเช่นนี้ เป็นเหมือนการเชียร์แขก เรียกผู้คนให้เข้ามานิยมชมชอบมากๆ
อยากเชื่อ! ต้องมีเหตุมีผล เป็นวิทยาศาสตร์
(มีพระอาจารย์ออกมาโพสต์ตำหนิ)
“ผมว่าจุดยืนของโลกสมัยใหม่ควร educate คุณได้รับความรู้ปุ๊บ สุดท้ายคุณเลือกที่จะเชื่อ เราไม่ว่ากันตอนเลือก แต่ว่าคุณต้อง educate และผมคิดว่านี่เป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย เพราะสังคมไทยเลือกที่จะเชื่อโดยไม่ educate ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังไหว้อะไร ยังไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร เราไม่ได้หนีไป ไม่ได้เป็นคนยุคใหม่อย่างที่เราคิด ที่ต้องมาพูดเรื่องพวกนี้เพราะเรารู้สึกว่ามันขัดหูขัดตา” คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ
ข้อสรุป ในสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องรู้จริงก่อน หาที่มาที่ไปก่อน และพิสูจน์ด้วยตัวเองก่อนถึงจะเชื่อ มิเช่นนั้นเราจะต้องเป็นเหยื่อ งมงายได้!
ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องนี้ทางหลักพระพุทธศาสนา ขอยก เรื่องความเชื่อ และคำสอนเรื่องความงมงาย ไสยศาสตร์ให้หมดสิ้นไป 273-276 หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ : ปฏิวัติความงมงาย มีบางช่วงบางตอนกล่าวไว้อย่าน่าสนใจ
บทบัญญัติความเชื่อ 10 ประการ และพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงพ่อปัญญาฯ ได้กล่าวไว้ นับเป็นสุดยอดของวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว
ความเชื่อในศาสนาอื่นผิดกับหลักพระพุทธศาสนา คือ เขาสอนให้คนเอาชีวิตจิตใจไปฝากไว้กับสิ่งภายนอก เช่น ฝากไว้กับพระผู้เป็นเจ้าอันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเชื่อ ต้องทำตาม เป็นศาสนาประเภทอ้างเทวดาเป็นผู้อำนวยคำสอนให้แก่เขา หรือที่เรียกว่า เทวนิยม แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าไม่มุ่งเอาอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าเกิดท่ามกลางความเชื่องมงาย เกิดในท่ามกลางของการปฏิบัติอย่างไม่เป็นสาระแก่นสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอินเดีย ถ้าเราไปประเทศอินเดียสมัยนี้ เราจะมองเห็นว่า ความงมงายที่มีอยู่ในประเทศอินเดียนั้นมากมายเหลือเกิน
คนแก่ๆ เก็บก่อนหินมาสี่ห้าก้อน เอามาวางไว้ในชามอ่าง เสร็จแล้วเอาข้าวสารมาโรยลงบนก้อนหิน เอาใบมะกรูดใบมะนาวไปโรยลงบนก้อนหิน แล้วก็ไปไหว้กรำแดดอยู่ตลอดตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง ถามเขาว่าไหว้อะไร? เขาบอกว่าไหว้พระศิวะ พระศิวะน่ะแกอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในหิน ในกรวด ในทราย แกแอบเข้าไปอยู่ในนั้นทั้งนั้น คราวนี้ตาคนนั้นแกเก็บก้อนหินไปนั่งไหว้อยู่ แล้วก็ยังมีพิธีการอื่นๆ อีกมากมายหลายสิ่งหลายประการ ข้าพเจ้าเดินดูนั่งดูแล้วก็เห็นว่า นี่อยู่ได้ด้วยความเชื่อประเภทงมงาย
แต่พระพุทธศาสนาไม่งมงาย เพราะพระพุทธเจ้าต้องการให้เชื่อในสิ่งที่มีเหตุผล ไม่ต้องการให้ศาสนิกชนอยู่อย่างหลับตาแต่ต้องการอยู่อย่างลืมตา นับถือในสิ่งที่ควรเชื่อควรมาปฏิบัติไม่ใช่ว่าเชื่อตามเขาเสมอไป คนเหล่านั้นเข้าไม่ถึง... เมื่อเข้าไม่ถึงพระพุทธศาสนาก็หายไปจากอินเดีย ต่อมาปรากฎในประเทศลังกา ในประเทศพม่า ในประเทศไทย ฯลฯ แต่ความงมงายในประเทศไทยยังไม่หายไป
ในสมัยก่อน เมืองไทยเรายังมีพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์กว่านี้ เรียบร้อยกว่านี้ แต่สมัยนี้ความนิยมวัตถุมากเกินไป เราจึงเอาตัวศาสนาที่เป็นธรรมะทิ้งไปเสีย แล้วเอาศาสนาเฉพาะที่เป็นวัตถุมาเก็บไว้ พี่น้องชาวพุทธสังเกตดูเถอะ เราจะเห็นว่าโฆษณาในทางวัตถุมากมายก่ายกองตามวัดวาอารามที่มีงานการอะไร เรื่องโฆษณาเกี่ยวกับสัจธรรมมีน้อย แต่โฆษณาเกี่ยวกับวัตถุมากมาย เช่นในงานมีพระอาจารย์วิเศษมาปลุกเสกเครื่องรางของขลัง จะมีการแจกพระ แจกตะกรุด แจกอะไรต่ออะไร ทุกสิ่งทุกประการแหละ... ที่ต้องการแล้วแจกตะพึดตะพืดที่เดียว คนก็ไปกันมาก แต่ถ้าหากว่าจะไปประกาศกิจกรรมคนมาไม่กี่คน ฟังกันไม่กี่คนหรอก เพราะว่าไม่เคยฟัง ถ้าหากว่าได้เคยฟังกันบ่อยๆ ก็พอเข้าใจได้
...ความเชื่อบางอย่างอาจไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราเชื่อแบบมีสติ แบบผู้รู้ ผู้เบิกบาน ต่างหากที่นำพาสู่หนทางที่ดี ไม่งมงาย มีเหตุมีผล
(ขอบคุณคลิป: เฟซบุ๊ก Beer Apirak)
ที่มา ASTV ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย"